ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มีระเบียบปฏิบัติเวียนให้ทราบและรวบรวมเป็นเล่มไว้แต่ละปี เจ้าหน้าที่จะอ้างว่าไม่รู้ได้หรือไม่?

เป็นเจ้าหน้าที่ต้องรู้ระเบียบปฏิบัติงาน ไม่รู้ก็ต้องศึกษา หากยอมให้อ้างว่าไม่รู้ได้ ระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ ก็จะไร้ความหมาย และจะทำให้เกิดความเสียแก่หน่วยงานนั้น ๆ ได้ โปรดพิจารณาแนววินิจฉัยจากคำพิพากษาฎีกาต่อไปนี้...

คดีแดงที่  7314/2537
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โจทก์
นายมีชัย ลิมปิชาติ กับพวก จำเลย


ป.พ.พ. มาตรา ๑๖๔ เดิม (ม.๑๙๓/๓๐ ใหม่), ๔๒๐, ๔๔๘, ๗๙๗, ๘๑๒
ป.วิ.พ. มาตรา ๘๔, ๘๗, ๙๐, ๑๔๒ วรรคแรก, ๑๗๒ วรรคสอง

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นพนักงานของโจทก์ โดยมีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกันความเสียหายของจำเลยที่ ๑ ขณะปฏิบัติหน้าที่ จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่โดยลำพังมิได้รับอนุญาตหรือได้รับมอบหมายจากโจทก์ อันเป็นความประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหายอย่างร้ายแรง คิดเป็นเงินจำนวน ๓๔๙,๔๙๔.๕๕ บาท จำเลยที่ ๑ จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจะชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ จึงถือว่าฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ อีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง แล้ว หาเป็นคำฟ้องที่ขัดกันเองไม่ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ ๑ เป็นทนายความว่าความให้โจทก์ จึงถือว่าโจทก์เป็นตัวการและจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทน เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดฐานะเป็นตัวแทนกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ผู้เป็นตัวการเสียหายซึ่งมิได้มีบทบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะแล้ว ย่อมมีอายุความฟ้องร้องสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ เดิม (มาตรา ๑๙๓/๓๐ ที่แก้ไขใหม่)หาใช่เป็นกรณีละเมิดที่ต้องใช้อายุความหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๒๐, ๔๔๘ ไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีภายในสิบปีแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ
เมื่อโจทก์ได้ทำบันทึก วิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลให้นิติกรหรือทนายความของโจทก์ทราบก่อนที่จำเลยที่ ๑ ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นนิติกรของโจทก์ว่า แม้ทนายความซึ่งได้แต่งตั้งโดยให้มีอำนาจให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ก็ตาม หากจะประนีประนอมยอมความแล้ว ให้ทนายความเสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะประนีประนอมยอมความต่อผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทน แล้วให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทน เสนอขออนุมัติต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์ก่อนทุกครั้ง ซึ่งบันทึกวิธีปฏิบัติดังกล่าวได้เวียนไปให้หน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดโจทก์ทราบ และได้รวบรวมไว้เป็นเล่มแต่ละปี สามารถตรวจสอบได้ง่ายและนิติกรทุกคนได้ทราบวิธีปฏิบัติดังกล่าวแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ ทราบและต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ทั้งก่อนวันที่จำเลยที่ ๑ ทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าว โจทก์ก็ได้ย้ำปรับความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลให้ทนายความของโจทก์ซึ่งรวมทั้งจำเลยที่ ๑ ให้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด การที่จำเลยที่ ๑ ทำการประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าว โดยมิได้เสนอความเห็น พร้อมด้วยรายละเอียด ในเรื่องที่จะตกลงหรือประนีประนอมยอมความต่อ อ. ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเพื่อขออนุมัติต่อโจทก์ย่อมถือว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของโจทก์ เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลง หรือประนีประนอมยอมความทางศาลอันเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ ๑ จะอ้างเพียงว่าเมื่อในใบแต่งทนายความให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจประนีประนอมยอมความได้แล้วจำเลยที่ ๑ ย่อมมีอำนาจทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความตามที่จำเลยที่ ๑ เห็นสมควรโดยพลการหาได้ไม่ เพราะในบันทึกวิธีปฏิบัติดังกล่าวระบุไว้ชัดแจ้งว่าแม้มีการมอบอำนาจ ให้นิติกรหรือทนายความ ประนีประนอมยอมความ ก็ให้นิติกรหรือทนายความเสนอขออนุมัติต่อโจทก์ทุกครั้งไป การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เพราะทำให้โจทก์ไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยที่จำเลยในคดีดังกล่าวต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษา การที่จำเลยที่ ๑ รู้ว่าจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ ชำระเงินแก่โจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้จึงมีผลใช้บังคับได้โดยสมบูรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ รับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งจำเลยที่ ๑ ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้นเอกสารบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลและหนังสือย้ำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาล จึงมิใช่เป็นพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นโดยตรงในคดีซึ่งโจทก์จะต้องส่งสำเนาเอกสารนั้น ๆ แก่จำเลยที่ ๓ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐ แต่อย่างใด และโจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นประกอบถามค้านจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นพยานจำเลยที่ ๓ ในเวลาที่จำเลยที่ ๑ เบิกความแล้ว เอกสารดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน และการที่โจทก์นำสืบเอกสารดังกล่าวก็เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำผิดหน้าที่โดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ เป็นเหตุทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายซึ่งถือว่าจำเลยที่ ๑ ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ ๑ จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เช่นนี้เท่ากับเป็นการนำสืบว่าหนังสือรับสภาพหนี้ มีมูลหนี้ที่จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดต่อโจทก์จริง อันเป็นประเด็นโดยตรงในคดีตามฟ้องโจทก์ หาใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
เมื่อประเด็นสาระสำคัญแห่งคดีโดยตรง ซึ่งภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยทั้งสามแล้ว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสามมีหน้าที่นำสืบก่อนในประเด็นข้อนี้ และเพื่อมิให้คดีล่าช้าจึงให้จำเลยทั้งสามนำสืบก่อนในทุกประเด็นข้ออื่นด้วยนั้น นับว่าชอบแล้ว

…………………..……………………………………………………………..



(อธิราช มณีภาค - มงคล สระฎัน - สถิตย์ สิทธิลักษณ์ )

ศาลจังหวัดภูเก็ต - นายรัตยา สัตยาบัน
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ - นายระพินทร บรรจงศิลป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น