ปัญหาข้อที่ ๒ มีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ปัญหาข้อนี้เห็นควรแยกวินิจฉัยคำฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ ๓ ก่อน คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ ๓ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น หน้าที่ของจำเลยที่ ๓ จึงเป็นองค์ประกอบความผิดที่โจทก์ต้องบรรยายมาในคำฟ้องให้เห็นหรือเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ ๓ มีหน้าที่อย่างไรและจำเลยที่ ๓ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบอย่างไร เพราะหากจำเลยที่ ๓ ไม่มีหน้าที่หรือกระทำนอกเหนือหน้าที่ การกระทำของจำเลยที่ ๓ ก็ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๓ ตอนแรกโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ ๓ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมและเป็นกรรมการตุลาการโดยตำแหน่งจึงเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายต่อจากนั้น โจทก์กล่าวว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิได้กล่าวว่าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ มีอย่างไรอีก และในตอนสุดท้ายโจทก์กล่าวลอย ๆว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยความร่วมมือของจำเลยที่ ๓ และที่ ๔เพิกเฉยไม่ดำเนินการกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งโจทก์เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑จนกระทั่งโจทก์เกษียณอายุราชการ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเห็นได้ว่าโจทก์มิได้กล่าวว่าจำเลยที่ ๓ มีหน้าที่อย่างไร จำเลยที่ ๓ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นอย่างไร และเป็นการกระทำที่อยู่ในขอบอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ หรือไม่ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายถึงหน้าที่ตลอดจนการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติงานในหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ มาในคำฟ้องคำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดของจำเลยที่ ๓ จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๘(๕) เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๓ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย / คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4881/2541
หมายเหตุ
การที่กฎหมายกำนดให้เจ้าพนักงานคนหนึ่งคนใดมีหน้าที่ก็เพราะกฎหมายเห็นว่าตำแหน่งที่คุณครองอยู่นั้นสำคัญสามารถเป็นตัวแทนของรัฐทำในนามรัฐและผูกพันรัฐได้ ซึ่งสามารถปฎิบัติภารกิจที่กฎหมายมอบให้จนสำเร็จลุล่วงได้ โดยความสำเร็จในภารกิจจะมีไม่ได้เลยถ้าคุณไม่มี "อำนาจหน้าที่"
การบรรยายฟ้องโดยระบุภาระหน้าที่จึงสำคัญ ที่จะเลยไม่ได้โดยเด็ดขาด