ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ครอบครองหลังประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับออกเฉพาะรายได้หรือไม่?

เดิมเข้าใจกันทั่วไปว่าการออกโฉนที่ดินเฉพาะรายในที่ดินที่ไม่มี ส.ค.๑ ไม่สามารถออกโฉนดที่ดินหรือ น.ส.๓ ก เป็นการเฉพาะรายได้ ความเข้าใจเช่นนั้นคงไม่ถูกต้องแล้ว หากพิจารณาจากคำพิพากษาศาลฎีกาข้างล่างนี้...


คำพิพากษาศาลฎีกาที่  293/2535
นาย มา นุ ไชยฤทธิ์
     โจทก์
นาย วีระ ลำ ใย ทอง
     จำเลย



ป.ที่ดิน มาตรา 58 ทวิ, 59

พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5

ข้อ 9



           การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะราย นอกจากจะเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ(3) แล้ว ยังต้องเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนดด้วย ซึ่งระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2515) หมวด 4การขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะราย โดยมิได้แจ้งการครอบครอง กำหนดไว้ในข้อ 9 ว่า "การออกโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ผู้ครอบครองและการทำประโยชน์ ในที่ดินเฉพาะรายโดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดินตาม มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ต้องอยู่ใน หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขดังนี้...(2) ความจำเป็นในกรณีที่ จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ได้คือ...(ค) ในกรณีที่มี ความจำเป็นอย่างอื่น แต่ต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นการเฉพาะราย"ที่ดินพิพาทโจทก์เข้าจับจองครอบครองหลังจากที่ ประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว จึงเป็นที่ดินที่ไม่อาจจะแจ้ง การครอบครองได้ตาม มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497ถึงแม้จะอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายได้ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 58 ทวิ(3) ก็ตาม เมื่อได้ความว่าผู้ว่าราชการจังหวัดมีหนังสือให้ โจทก์ออกจากที่พิพาท แสดงให้เห็นว่าไม่มีการอนุมัติให้ออกหนังสือ รับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายสำหรับที่ดินพิพาท ดังนั้น ที่ดินพิพาท จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนด ไว้ในวันที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ได้.



________________________________





          โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินโดยการจับจองทำประโยชน์ และได้ขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายแต่เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้ ต่อมาจำเลยซึ่งเป็นนายอำเภอมีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์รายงานเท็จต่อผู้ว่าราชการจังหวัดว่าโจทก์บุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ออกจากที่ดิน ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้บังคับจำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ หากขัดขืนให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

          จำเลยให้การว่า ที่ดินตามที่โจทก์อ้างเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์มิได้ครอบครองที่ดินก่อนประมวลกฎหมายที่ดินเริ่มใช้บังคับ จึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

          โจทก์ฎีกา

          ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าโจทก์เข้าไปจับจองครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2507 หลังจากที่ประมวลกฎหมายที่ดินมีผลใช้บังคับแล้ว โจทก์เคยยื่นเรื่องราวขอมีสิทธิในที่ดินต่อทางราชการ แต่ทางราชการยังไม่ดำเนินการให้ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้มีหนังสือให้โจทก์ออกจากที่พิพาท คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จะขอให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินที่พิพาทให้โจทก์เฉพาะรายตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ (3) และมาตรา 59 ได้หรือไม่  

          พิเคราะห์แล้ว กรณีของโจทก์นั้นเป็นเรื่องอ้างว่าเป็นการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะราย ซึ่งในเรื่องนี้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 บัญญัติว่า "ในกรณีที่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมาขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายไม่ว่าจะได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามมาตรา 58แล้วหรือไม่ก็ตาม เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควร ให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วแต่กรณีได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด..." มาตรา 58 ทวิวรรคสอง บัญญัติว่า "บุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามวรรคหนึ่งให้ได้คือ...

          (3) ผู้ซึ่งครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ในที่ดิน ภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ และไม่มีใบจอง ใบเหยียบย่ำ หรือไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ"

          วรรคสี่บัญญัติว่า "สำหรับบุคคลตามวรรคสอง (2) และ (3)ให้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วแต่กรณีได้ไม่เกินห้าสิบไร่ ถ้าเกินห้าสิบไร่ จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะราย ทั้งนี้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด" ตามบทกฎหมายดังกล่าวนอกจากจะเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน บทบัญญัติมาตราต่าง ๆ แล้ว การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายจะต้องเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนดด้วย ซึ่งระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2515)หมวด 4 การขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายโดยมิได้แจ้งการครอบครอง กำหนดไว้ในข้อ 9 ว่า "การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ผู้ครอบครองและการทำประโยชน์ในที่ดินเฉพาะรายโดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดินตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขดังนี้...

          (2) ความจำเป็นในกรณีที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ได้คือ...

          (ค) ในกรณีที่มีความจำเป็นอย่างอื่น แต่ต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะราย"

          ที่ดินที่พิพาทนั้นโจทก์เข้าจับจองครอบครองหลังจากที่ประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว จึงเป็นที่ดินที่ไม่อาจจะแจ้งการครอบครองได้ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 ถึงแม้จะอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 58 ทวิ (3) ก็ตาม แต่ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาไม่ได้ความว่าโจทก์ได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะราย กลับได้ความว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้มีหนังสือให้ โจทก์ออกจากที่พิพาทอันเป็นข้อแสดงให้เห็นว่าไม่มีการอนุมัติให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายสำหรับที่ดินที่พิพาท ดังนั้น ที่ดินที่พิพาทจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนดไว้ในอันที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่อาจจะบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

          พิพากษายืน.





( อุดม เฟื่องฟุ้ง - ก้าน อันนานนท์ - อัมพร ทองประยูร )


วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เกณฑ์ที่ใช้พิจารณาว่า อย่างไรคือการครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาฎีกาค่อไปนี้คือแนวทางที่ใช้เป็นเกณฑ์วินิจฉัย...



คดีแดงที่  7/2539
นายบุ เบ้าเพชร โจทก์
นายนพพร จันทรถง
ในฐานะนายอำเภอวารินทร์ชำราบ จำเลย


ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔, ๑๓๖๗, ๑๓๗๐
ป.วิ.พ. มาตรา ๘๔

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง ไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ เพราะเป็นที่ดินสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก็ไม่ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐาน เพราะโจทก์จะยกเอาการครอบครองขึ้นยันต่อรัฐได้ ต่อเมื่อโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทมาโดยชอบตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด และกฎหมายบัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิครอบครองนั้นไว้ด้วย

…………………..……………………………………………………………..



(อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ - สุทธิ นิชโรจน์ - สมพล สัตยาอภิธาน )

ศาลจังหวัดอุบลราชธานี - นายสุทธิพงศ์ ภูสุวรรณ
ศาลอุทธรณ์

ความเป็นเจ้าของที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ พิจารณาจากอะไร?

คำพิพากษาศาลฎีกาต่อไปนี้คือคำตอบ...



คดีแดงที่  1115/2541
นางตู้ สุพร โจทก์
นายเกิ้น คล่องแคล้วหรือคล่องแคล่ว กับพวก จำเลย


ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๔, ๑๓๖๗, ๑๓๗๓
ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒

ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ความเป็นเจ้าของต้องพิจารณาจากแนวเขตที่ดินที่ทั้งสองฝ่ายยึดถือครอบครอง น.ส.๓ ก.ของจำเลยเป็นเพียงคำรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำประโยชน์ในที่ดินแล้วเท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดสิทธิในที่ดินส่วนที่มิได้ยึดถือครอบครอง จำเลยจึงไม่มีสิทธิในที่ดิน น.ส.๓ ก.ด้านทิศตะวันออกที่อยู่นอกเขตการยึดถือครอบครองของฝ่ายจำเลย และเมื่อโจทก์และจำเลยต่างครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของตน ดังนี้ ที่ดินตาม น.ส.๓ ก. ในส่วนที่จำเลยมิได้ยึดถือครอบครองจึงเป็นที่ดินของโจทก์ จำเลยคงเป็นเจ้าของที่ดินเฉพาะส่วนที่จำเลยยึดถือครอบครองในกรอบเส้นสีดำประในแผนที่พิพาท ศาลจึงชอบที่จะพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส.๓ ที่พิพาทในกรอบเส้นสีแดงดำในแผนที่พิพาท เว้นแต่ที่ดินในกรอบเส้นสีดำประ และให้เพิกถอน น.ส.๓ ก.ของจำเลยด้านทิศตะวันออกเฉพาะส่วนที่โจทก์ครอบครองที่ดิน กับห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์

…………………..……………………………………………………………..



(อรุณ น้าประเสริฐ - จรัญ หัตถกรรม - อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ )

ศาลจังหวัดมุกดาหาร - นายชยุตม์ ประภากมล
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ - นายพินิจ บุญชัด



เมื่อออกเอการสิทธิให้ไปแล้ว ย่อมได้รับความคุ้มครองตราบเท่าที่..

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1180/2541
พนักงานอัยการ จังหวัด อุทัยธานี
     โจทก์
โจทก์ร่วม
     โจทก์
นาง อุไร จิวานุพันธ์
     โจทก์
นาย ประสงค์ ประสิทธิ์ กับพวก
     จำเลย


ป.พ.พ. มาตรา 1304
ป.อ. มาตรา 365(2)
ป.วิ.อ. มาตรา 2(4)

           ปัญหาที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ป่าช้าเดิมตามความเห็นเบื้องต้นจากผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ยังมิได้ผ่านกระบวนการเพิกถอนที่โจทก์ร่วมผู้มีชื่อใน น.ส.3มีโอกาสที่จะพิสูจน์โต้แย้งโดยเต็มที่ได้ โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ในความผิดฐานบุกรุก ข้อเท็จจริงที่ น.ส. 3 มิได้มีการเพิกถอนตามที่ได้ร้องเรียน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 13 ได้ทราบดีอยู่แล้วหากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 13 ไม่ยอมรับสิทธิของโจทก์ร่วมที่พึงมีในที่พิพาทตามเอกสารราชการที่ยังมีผลอยู่ตามกฎหมายก็พึงดำเนินการใช้สิทธิของตนฟ้องร้องเป็นคดีขึ้นสู่ศาลได้ต่อไปตามขั้นตอนอันชอบด้วยกฎหมาย แต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 13กลับเลือกวิธีการเข้าไปปลูกต้นสัก ในที่ดินพิพาทโดยพลการเป็นการกระทำที่ไม่อาจอ้างเป็นการสุจริตได้ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2) ประกอบมาตรา 83,362

________________________________


          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362, 365, 83
          จำเลยทั้งสิบสามให้การปฏิเสธ
          ระหว่างพิจารณา นางอุไร จิวานุพันธ์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสิบสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2) ประกอบมาตรา 83, 362จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 4,000 บาท ไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสิบสามเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนเพื่อให้โอกาสจำเลยทั้งสิบสามกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
          จำเลยทั้งสิบสามอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
          โจทก์ โจทก์ร่วมฎีกา
          ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(1)ศาลฎีกาให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ออกเสียจากสารบบความ
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยที่ 2 ถึง 13 ได้เข้าไปปลูกต้นสักในที่ดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 122ซึ่งมีชื่อโจทก์ร่วมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองจริงตามที่ฟ้องคดีมีปัญหาวินิจฉัยเป็นประการแรกตามฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินพิพาท น.ส.3 เลขที่ 122 มีการร้องเรียนว่าออกทับที่ดินป่าช้าเดิมและขอให้มีการเพิกถอนก็จริง แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนแม้จะมีความเห็นของเจ้าหน้าที่เสนอให้มีการเพิกถอนก็ตามแต่ก็เป็นเพียงความเห็นจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ผู้สอบสวนเป็นเบื้องต้นเท่านั้นทั้งยังปรากฎว่าผลการสอบสวนอันเป็นความเห็นเบื้องต้นดังกล่าวนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่จะสั่งการให้มีการเพิกถอนหรือแก้ไขนั้นยืนยันว่าไม่สามารถเพิกถอน น.ส.3 เลขที่ 122 ของโจทก์ร่วมได้เพราะได้ออกโดยชอบแล้วปัญหาที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ป่าช้าเดิมตามความเห็นเบื้องต้นจากผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่นั้นจึงยังมิได้ผ่านกระบวนการเพิกถอนที่โจทก์ร่วมผู้มีชื่อใน น.ส.3มีโอกาสที่จะพิสูจน์โต้แย้งโดยเต็มที่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2ด่วนฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) แล้วยกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยนั้นศาลฎีกายังไม่อาจเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมข้อนี้ฟังขึ้น
          สำหรับปัญหาวินิจฉัยต่อมาว่า การกระทำของจำเลยที่ 2ถึง 13 เป็นความผิดตามที่ฟ้องหรือไม่นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่น.ส.3 เลขที่ 122 มิได้มีการเพิกถอนตามที่ได้ร้องเรียนจำเลยที่ 2 ถึง 13 ได้ทราบดีอยู่แล้วสิทธิของโจทก์ร่วมที่พึงมีในที่พิพาทตามเอกสารราชการที่ยังมีผลอยู่ตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 ถึงที่ 13 หากไม่ยอมรับก็พึงดำเนินการใช้สิทธิของตนตามคำแนะนำที่ปรากฎในหนังสือของจังหวัดอุทัยธานีเอกสารหมาย จ.10 คือ ดำเนินการฟ้องร้องเป็นคดีขึ้นสู่ศาลได้ต่อไปตามขั้นตอนอันชอบด้วยกฎหมาย แต่จำเลยที่ 2 ถึง 13กลับเลือกวิธีการเข้าไปปลูกต้นสักในที่ดินพิพาทโดยพลการเป็นการกระทำที่ไม่อาจอ้างเป็นการสุจริตได้ จึงต้องมีความผิดตามฟ้องดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ซึ่งให้เหตุผลไว้โดยละเอียดและถูกต้องแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยและไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น"
          พิพากษากลับเป็นว่า ให้บังคับคดีในส่วนของจำเลยที่ 2ถึง 13 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น


( วินัย วิมลเศรษฐ - วิรัตน์ ลัทธิวงศกร - คงศักดิ์ วัชรคงศักดิ์ )