ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การที่ศาลไม่เชื่อคำพยานฝ่ายใด จะถือได้หรือไม่ว่าคำพะยานฝ่ายนั้นเบิกความเท็จ?

เรื่องนี้มีหลักอยู่ว่า การที่ศาลไม่เชื่อคำพยานฝ่ายใดนั้น ไม่เป็นเหตุพอให้ถือได้ว่า คำพะยานฝ่ายนั้นเป็นเท็จไปด้วย...ดูตัวอย่างจากคำพิพากษาฎีกา

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  812/2483
อัยยการลำพูน
     โจทก์
นายมูล ถาพนัสลัก
     ล.

 ป.อ. มาตรา 155, 156
          กรณีที่ถือว่าคำเบิกความไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี
________________________________ 
          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จโดยกล่าวว่า จำเลยเบิกความเท็จในคดีที่จำเลยต้องหาว่าตัดฟันชักลากไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตในข้อสำคัญว่าภายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานได้สอบสวนจำเลยที่สถานีตำรวจกิ่งแม่ทาวันเดียว ไม่ได้อ่านให้ฟังไม่ได้ให้ลงชื่ออีก ๑๑ วัน จึงให้ลงชื่อ แต่ก็ไม่ได้อ่านให้ฟังคำให้การชั้นสอบสวนที่โจทก์ส่งศาล ไม่ได้อ่านให้จำเลยฟัง นายร้อยตำรวจตรีแก้วไม่เคยสอบสวน เมื่อเจ้าพนักงานไปทำแผนที่ ทำกันอย่างไรไม่ทราบ จำเลยไม่ได้บอกเขตต์ จำเลยไม่ได้บอกเขตต์จับจองจำเลยเคยเซ็นชื่อที่บ้านกำนันครั้ง ๑ ที่สถานีตำรวจครั้ง ๑ รูปแผนที่ไม่เหมือนกัน แผนที่ที่เจ้าพนักงานไปรังวัดครั้งแรกนายบุญยนต์เป็นคนทำไม่ปรากฏในสำนวนน
          ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ
          ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อความที่โจทก์กล่าวว่าจำเลยเบิกความเท็จนั้น ล้วนแต่เป็นพลความคือไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

           ( อิศร - อรรถกฤต ช.เพ็ญชาติ - สุทธิอรรถนฤมนตร์ )
 ศาลชั้นต้น - ++ 
ศาลอุทธรณ์ - ++

หมายเหตุ   คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาดังมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า “ นอกจากนี้ยังมีหลักอยู่ว่าการที่ศาลไม่เชื่อคำพยานฝ่ายใดนั้น ไม่เป็นเหตุพอที่ให้ถือได้ว่า คำพะยยานฝ่ายนั้นเป็นเท็จไปด้วย...”

การเบิกความให้ความเห็นก็เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จได้

การเบิกความที่จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องเบิกความเกี่ยวกับข้อเท็จจริง  ไม่ใช่ใช่ข้อกฎหมายเท่านั้น การให้ความเห็น แม้ภายหลังไม่ตรงกับความจริงก็ผิดฐานเบิกความเท็จได้ เรื่องเป็นอย่างไร โปรดพิจารณา...

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  410/2474
พระภิกษุสม
     โจทก์
นายร้อนโทมูล นายกำไล
     จำเลย


อาชญา มาตรา 155-156-15
วิธีพิจารณาอาชญา

          การที่วิจักขณะพะยานเบิกความออกความเห็นหรือความสันนิษฐานโดยสุจริตนั้น แม้ภายหลังไม่ตรงกับความจริง ก็ยังไม่มีผิดฐานเบิกความเท็จ
          ไต่สวนมูลฟ้อง หน้าที่นำสืบ
          เมื่อศาลไต่สวนมูลฟ้อง เห็นว่าจำเลยไม่มีผิดตามกฎหมายแล้วไม่ออกหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาได้ โจทก์หาว่าจำเลยเบิกความเท็จเป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบ

________________________________


          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จแลกระทำพะยานเท็จตามกฎหมายลักษณะอาชญา ม.๑๕๕-๑๕๖-๑๕๗-๗๑ โดยหาว่า มึ่งเป็นวิจักาขณะพะยานในคดีที่ โจทก์ฟ้องหาว่า ก. จำเลยยิงม้าของ โจทก์นั้น เบิกความต่อศาลว่า "ได้ ตรวจแผลม้าแลคลำดูไม่รู้สึกว่ามีของแข็งถูกมือ เข้าใจว่าไม่มีกระสุนปืนอยู่ในแผล แลยืนยันว่าแผลนั้นไม่ใช่แผลถูกกระสุนปืน" แลจำเลยได้ให้การที่อำเภอก็เช่นเดียวกันซึ่ง ก. จำเลยได้อ้างคำให้การนั้นมาเป็นพะยานในขั้นศาลด้วยจนศาลได้พิพากษายกฟ้องในคดีที่โจทก์ฟ้อง ก.เสีย ต่อมา โจทก์ให้แพทย์ผ่าแผลม้าได้กระสุนปืน ๑ กะสุนดังนี้
          ศาลเดิมไต่สวนมูลฟ้องเห็นว่า ม.จำเลยไม่มีผิด จึงไม่ออกหมายเรียก
          ศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตาม
          โจทก์ฎีกาข้อกฎหมาย
          ศาลฎีกาเห็นว่าถ้อยคำที่ ม.เบิกความเป็นแต่ความเห็นแลความสันนิษฐาน แลไม่ส่อให้เห็นว่ามีเจตนาทุจจริตเข้าข้างฝ่ายใด การที่ ม.จะมีผิดดังโจทก์หาจะต้องได้ความว่า ม.ได้รู้แล้วว่าแผลม้านั้นเป็นแผลถูกกระสุนปืนหรือรู้สึกว่ากระสุนปืนอยู่ในแผล แล้วแกล้งมาออกความเห็นไปอย่างอื่น แต่ข้อนี้โจทก์ก็ไม่มีพะยานมาสืบ จึงตัดสินยืนตามศาลล่าง


( วิชัย - พิพาก - พรหม )

ศาลชั้นต้น - หลวงพินิจ+
ศาลอุทธรณ์ - พระยามณู+ธรรม

หมายเหตุ

พูดโดยเชื่อถ้อยคำของผู้อื่นไม่เรียกว่าทุจริตหลอกลวง

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  553/2472
เจ้าจอมมารดาโหมด
     โจทก์
หลวงพูนเลขเสริม
     จำเลย


ป.อ. มาตรา 304, 78
ป.วิ.อ.

          พูดโดยเชื่อถ้อยคำของผู้อื่นไม่เรียกว่าทุจริตหลอกลวง วิธีพิจารณาอาญา อายุความ หน้าที่โจทก์ต้องสืบว่าคดีไม่ขาดอายุความ

________________________________


          คดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๐ ว่า จำเลยหลอกลวงเอาห้องแถวแลตลาดซึ่งไม่ใช่ของตนมาประกันเงินกู้จากโจทก์และกล่าวในฟ้องว่าโจทก์ทราบความทุจริตของจำเลยแล้วจึงได้มาฟ้อง
          ทางพิจารณาปรากฎว่า ห้องแถว ฯลฯ นั้นจำเลยปลูกลงในที่ของ ส.และจำเลยทำสัญญายกกรรมสิทธิให้ ส.แล้ว แต่ ส.บอกว่าถ้าจำเลยส่งค่าเช่าเสมอแล้วจะไม่คิดเอาเป็นกรรมสิทธิต่อมาวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๐ มีเจ้าหนี้มายึดห้องแถวนั้น ส.ร้องขัดทรัพย์ ศาลก็ได้สั่งให้ถอนการยึดแต่วันนั้น เพราะเห็นว่า ส.เป็นเจ้าของห้องแถว โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ จำเลยจึงต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความ
          ศาลอาญาตัดสินจำคุกจำเลย ๖ เดือน
          ศาลอุทธรณ์ตัดสินปล่อยโดยเห็นว่าจำเลยไม่ได้หลวกลวงและโจทก์ทราบข้อความเรื่องยกกรรมสิทธิดีแล้ว
          ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยบอกแก่โจทก์ให้ห้องแถวเป็นประกันนั้นโดยเชื่อถ้อยคำของ ส.จึงไม่มีการทุจริต และคดีนี้เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องสืบว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ เรื่องนี้โจทก์ทราบความทุจริต+ ๓ เดือนแล้ว คดีจึงขาดอายุความ ให้ยกฟ้อง


( หริศ - ศรี - นล )


หมายเหตุ