ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559



ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1334  ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดินนั้น ท่านว่าบุคคลอาจได้มาตามกฎหมายที่ดิน

พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
 (๑) ป่า หมายความว่า ที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน
ฯลฯ                                                        ฯลฯ

ดังนั้น

1.ที่ดินที่ได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดินแล้ว ย่อมไม่เป็นป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 มาตรา 4(1)
(ฎีกาที่ 938/2493)
2.ผู้ครอบครองที่ดิน จะยกเอาการครอบครองขึ้นยันต่อรัฐได้ต่อเมื่อโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทมาโดยชอบตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด และกฎหมายบัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิครอบครองนั้นไว้ด้วย (ฎีกาที่
7/2539)
3.ถ้าบุคคลใดมีสิทธิในที่ดินตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติรองรับสิทธินั้นไว้แล้ว ที่ดินนั้นก็พ้นสภาพจากการเป็นป่าตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ (ความเห็นกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ ๑๕๗/๒๕๔๔)








คำพิพากษาศาลฎีกาที่  938/2493
อัยยการนครสวรรค์
     โจทก์
นายชอบ สุทธิภาค ที่ 1, นายเทียนชัย +นางกูร ที่ 2
     ล.

ป.พ.พ. มาตรา 1304
พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน
พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484

          ที่ดินที่ได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดินแล้ว ย่อมไม่เป็นป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 มาตรา 4(1) ผู้ใดตัดไม้ประเภทหวงห้ามในที่ดินนั้น จึงย่อมไม่ติดตามพระราชบัญญัติป่าไม้
          พฤติการณ์ที่ถือว่า ได้ที่ดินมาตามกฎหมายที่ดินแล้ว

________________________________

          โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันจ้างคนงานตัดฟันไม้สัก ซึ่งเป็นไม้ประเภทหวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ๒๔๘๔
          จำเลยต่อสู้ว่า ตัดไม้ในที่ของนายเทียนชัยจำเลย
          ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายเทียนชัยตามฟ้อง ยกฟ้องนายชอบ
          ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนายเทียนชัยด้วย
          โจทก์ฎีกา
          ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงได้ความว่าที่ที่จำเลยตัดไม้รายนี้เป็นที่ที่ได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดินแล้วจึงไม่เป็นป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ๒๔๘๔ มาตรา ๔(๑) คดีโจทก์เป็นอันพังไม่สมฟ้องว่า จำเลยตัดฟันไม้ในป่าอันจะพึงมีความผิดตามที่โจทก์อ้าง
          พิพากษายืน


( มนูกิจวิมลอรรถ - เลขวณิชธรรมวิทักษ์ - นาถปริญญา )

ศาลจังหวัดนครสวรรค์ - ขุนประสงค์จรรยา

ศาลอุทธรณ์ - หลวงสรอรรถอำนวย
..........................................................................

คำพิพากษาฎีกาที่ 844/2506
เจ้าของเดิมเข้าบุกเบิกแผ้วถางป่าปลูกพืชผลมา 7 - 8 ปีแล้วโดยมิชอบด้วยกฎหมายที่ดิน เพราะเข้าบุกเบิกโดยพลการมิได้ขออนุญาตจากเจ้าพนักงานและเมื่อประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ก็มิได้แจ้งการครอบครอง แม้ต่อมาจะมีผู้อื่นซื้อที่ดินนี้จากเจ้าของเดิมก็ยังต้องถือว่าที่ดินนี้คงมีสภาพเป็นป่าอยู่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ..2484 มาตรา 4
พนักงานป่าไม้ปฏิบัติตามคำสั่งของป่าไม้เขตเข้าจับกุมผู้ไถพรวนดินและสุมเผากิ่งไม้อยู่ในเขตที่มีผู้แจ้งว่ามีการบุกรุกแผ้วถางป่าหาว่ากระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้เมื่อไม่ปรากฏว่าเป็นการแกล้งจับหรือแจ้งข้อหาเท็จ ทั้งที่ดินนั้นก็ยังต้องถือว่ามีสภาพเป็นป่าอยู่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ดังนี้ จะหาว่าพนักงานป่าไม้นั้นกระผิดตามมาตรา 157,172,173 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหาได้ไม่.

16. คำพิพากษาฎีกาที่ 468/2491
ในคดีที่ฟ้องหาว่า จำเลยกระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้ พ..2484 โจทก์จะต้องบรรยายในฟ้องให้ปรากฏด้วยว่าได้มีการคัดสำเนาพระราชกฤษฎีกา หรือประกาศรัฐมนตรีซึ่งกำหนดขึ้น ตามบทแห่ง พ...นี้ไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการกำนัน หรือที่สาธารณสถานในท้องที่ซึ่งเกี่ยวข้องแล้ว ถ้าในฟ้องมิได้กล่าวไว้ทั้งตามท้องสำนวนก็ไม่ได้ความตามที่ พ...กำหนดไว้ แม้จำเลยรับสารภาพ ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้

46. คำพิพากษาฎีกาที่ 1220/2515
ที่พิพาทไม่ใช่เป็นที่ดินของจำเลย แต่เป็นที่รกร้างว่างเปล่าย่อมต้องถือว่าเป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.. 2484มาตรา 4 (1) เมื่อจำเลยเข้าทำการแผ้วถางป่านั้นซึ่งยังไม่เคยถูกแผ้วถางมาก่อน และเข้าไปยึดถือครอบครองที่ป่านั้นโดยมิได้รับอนุญาตย่อมต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.. 2484 มาตรา 54, 72 ตรี ตามที่มีแก้ไขเพิ่มเติมและประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 แม้โจทก์จะได้กล่าวในฟ้องว่าที่พิพาทนี้เป็นที่ดินซึ่งทางราชการสงวนไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ด้วย ข้อนี้ก็มิใช่องค์ประกอบความผิดของบทกฎหมายดังกล่าว การขึ้นทะเบียนที่ดินนี้ไว้เป็นที่สาธารณะประจำหมู่บ้านจะได้กระทำไปโดยถูกต้องครบถ้วนหรือไม่จึงไม่ใช่ข้อสำคัญ

65. คำพิพากษาฎีกาที่ 3345/2535
คำว่า "ครอบครอง" ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ..2484 นั้น หาได้มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า "สิทธิครอบครอง" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ หากแต่มีความหมายกว้างกว่าโดยหมายความรวมถึงครอบครองเพื่อตนเองและครอบครองแทนผู้อื่นด้วย ทั้งนี้เพราะไม่มีบทกฎหมายใดจำกัดว่าต้องเป็นการครอบครองเพื่อตนเองเท่านั้นจึงจะเป็นความผิด อีกทั้งในทางอาญาการร่วมกันครอบครองไม้หวงห้ามก็เป็นความผิดเช่นเดียวกัน ดังนั้น การที่จำเลยครอบครองไม้ไว้ในฐานะลูกจ้างเพื่อนำส่งโรงเลื่อยจึงย่อมเป็นความผิด


...............................................................

เรื่องเสร็จที่ ๑๕๗/๒๕๔๔

บันทึก เรื่อง การทำไม้และเก็บหาของป่าหวงห้ามในที่ดินที่มีเอกสารแจ้งการครอบครอง (สค. 1) หรือใบจองตามประมวลกฎหมายที่ดิน - คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะ 7) - เรื่องเสร็จที่ 157/2544
มาตรา 4 มาตรา 11 มาตรา 29 พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
มาตรา 1 ประมวลกฎหมายที่ดิน
มาตรา 5 พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497

หลักฐานการแจ้งการครอบครองที่ดินและใบจองดังกล่าวเป็นเอกสารที่ทางราชการออกให้แก่บุคคลโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน และอยู่ในกระบวนการที่บุคคลจะได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินต่อไปแล้ว จึงถือว่าที่ดินนั้นเป็นที่ดินที่บุคคลได้มาตามประมวลกฎหมายที่ดิน และไม่ถือว่าเป็นป่า ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ดังนั้น การทำไม้หวงห้ามตามมาตรา 11 และการเก็บหาของป่าหวงห้ามตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ในที่ดิน สค. 1 หรือที่ดินที่มีใบจองโดยทั่วไปจึงไม่ต้องได้รับอนุญาตหรือสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ เว้นแต่การทำไม้สักหรือไม้ยาง จึงต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้

ความเห็นฉบับเต็ม

เรื่องเสร็จที่ ๑๕๗/๒๕๔๔

บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่อง  การทำไม้และเก็บหาของป่าหวงห้ามในที่ดินที่มีเอกสารแจ้งการครอบครอง
(ส.ค. ๑) หรือใบจองตามประมวลกฎหมายที่ดิน
                  

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ กษ ๐๗๐๕.๐๕/๐๖๙๓๘ ลงวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๔๓ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับรายงานจากกรมป่าไม้ว่า สำนักงานป่าไม้จังหวัดนครพนมมีปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินการจัดการไม้ของกลางที่ตรวจยึดในที่ดินที่มีใบจองและมีข้อหารือของพนักงานเจ้าหน้าที่กรณีการทำไม้หวงห้ามที่มิใช่ไม้สัก ไม้ยาง และการเก็บหาของป่าหวงห้ามในที่ดิน ส.ค. ๑ และใบจอง ว่าจะต้องได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ หรือไม่ อย่างไร โดยกรมป่าไม้เห็นว่าเรื่องนี้จะต้องพิจารณาว่าที่ดิน ส.ค. ๑ และใบจอง ยังคงอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ หรือไม่ ซึ่งมีความเห็นเป็นสองฝ่าย ดังนี้
ฝ่ายที่หนึ่ง เห็นว่า เจ้าของที่ดิน ส.ค. ๑ และผู้ถือใบจองซึ่งเป็นที่ดินที่ยังคงมีไม้หวงห้ามและของป่าหวงห้ามอยู่ หากจะทำไม้หวงห้ามและเก็บหาของป่าหวงห้ามต้องได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ก่อนการเข้าทำประโยชน์ เนื่องจาก
๑. ที่ดิน ส.ค. ๑ เป็นที่ดินที่ราษฎรได้แจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค. ๑ เท่านั้น ราษฎรยังไม่มีสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน ส่วนใบจองเป็นหนังสือแสดงการยอมให้เข้าครอบครองที่ดินชั่วคราวตามประมวลกฎหมายที่ดิน ยังไม่ถือว่าราษฎรที่ได้รับใบจองมีสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด ดังนั้น ที่ดิน ส.ค. ๑ และใบจอง จึงยังคงเป็น ป่า ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ อยู่ การทำไม้หวงห้ามและเก็บหาของป่าหวงห้ามจึงยังคงอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔
๒. การออกใบจอง กรณีรัฐจัดที่ดินเพื่อประชาชนตามมาตรา ๓๐ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน หรือกรณีราษฎรขอจับจองที่ดินตามมาตรา ๓๓ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นเพียงการนำที่ดินของรัฐมาจัดให้แก่ราษฎรทำนองเดียวกับการจัดนิคมสร้างตนเองหรือนิคมสหกรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ และการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยพิจารณามีความเห็นตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร ๐๖๐๑/๔๓๒ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๖ ว่า ๑. ผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตนิคมสร้างตนเองตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ ...บุคคลดังกล่าวข้างต้นเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐตามกฎหมายเฉพาะว่าด้วยการนั้นแล้ว ...การตัดฟันไม้หวงห้ามหรือเก็บหาของป่าหวงห้ามที่มีอยู่จะต้องได้รับอนุญาตตามมาตรา ๑๑ หรือมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ฯก่อน ... และหนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร ๐๖๐๑/๑๓๖๙ ลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๖ ว่า ... ที่ดินที่ ส.ป.ก. ถือกรรมสิทธิ์และดำเนินการปฏิรูปที่ดินโดยจัดให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรเข้าทำประโยชน์หรือเช่าซื้อไปแล้ว เฉพาะส่วนที่ยังไม่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินยังคงอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ...ถ้าที่ดินนั้นยังมีไม้หวงห้ามหรือของป่าหวงห้ามขึ้นอยู่ ผู้ได้รับอนุญาตดังกล่าวก็จะต้องขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ก่อนทำการตัดฟันหรือเก็บหาของป่า ...ที่ดินดังกล่าวยังคงเป็นป่าตามกฎหมายที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยป่าไม้อยู่...
ฝ่ายที่สอง เห็นว่า ที่ดิน ส.ค. ๑ และใบจองซึ่งชอบด้วยกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเป็นกรณีที่ราษฎรได้สิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวแล้ว แม้ว่า ส.ค. ๑ จะเป็นเพียงหลักฐานการแจ้งการครอบครองที่ดินตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และใบจองที่รัฐมอบให้ราษฎรก็เป็นกรณีออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว เนื่องจากในประมวลกฎหมายที่ดิน หมวด ๔ ได้กำหนดชื่อหมวดว่า  การออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน และมาตรา ๕๖ แห่งกฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติว่า แบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการออกใบจอง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ... ให้กำหนดโดยกฎกระทรวงก็อยู่ในหมวด ๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนั้น ที่ดิน ส.ค. ๑ และใบจอง จึงเป็นที่ดินที่ราษฎรได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน และไม่เป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ การทำไม้หวงห้ามและเก็บหาของป่าหวงห้ามจึงไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ แต่อย่างใด
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า เพื่อให้การปฏิบัติงานของกรมป่าไม้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย จึงขอหารือ ดังนี้
๑. ที่ดิน ส.ค. ๑ และใบจอง เป็นที่ดินที่พ้นจากสภาพ ป่า ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ หรือไม่ อย่างไร
๒. การทำไม้หวงห้ามและเก็บหาของป่าหวงห้ามที่ยังคงมีอยู่ในที่ดิน โดยผู้มีสิทธิตาม ส.ค. ๑ ใบจอง และผู้ที่มิได้มีสิทธิตาม ส.ค. ๑ ใบจอง ต้องได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ก่อนดำเนินการตัดฟันไม้หวงห้ามและเก็บหาของป่าหวงห้ามหรือไม่ อย่างไร
๓. หนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินนอกเหนือจากโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว ยังมีหนังสือชนิดใดอีกที่เป็นหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน

คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๗) ได้พิจารณาเรื่องหารือนี้ โดยได้รับฟังคำชี้แจงข้อเท็จจริงของผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมป่าไม้และสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) แล้ว มีความเห็นดังต่อไปนี้
ประเด็นที่หนึ่ง ที่ดินที่มีเอกสารการแจ้งการครอบครองที่ดิน (แบบ ส.ค. ๑) และที่ดินที่มีใบจอง (น.ส. ๒) ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นที่ดินที่พ้นจากสภาพ ป่า ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ หรือไม่ นั้น เห็นว่า ขอบเขตของ ป่า ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ พิจารณาได้จากนิยามคำว่า ป่า ในมาตรา ๔ (๑)[๑] ซึ่งได้ให้ความหมายไว้ว่า ที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลใดได้มาตามกฎหมายที่ดิน และเมื่อได้ตรวจสอบความเป็นมาในการยกร่างคำนิยามป่า ตามรายงานการประชุมของกรรมการร่างกฎหมาย ชุดที่ ๑ ใน พ.ศ. ๒๔๘๔ แล้ว ที่ประชุมได้พิจารณาคำนิยาม ป่า[๒] ที่ใช้อยู่ในพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า พุทธศักราช ๒๔๘๑ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น เพื่อหาจุดแบ่งแยกระหว่างที่ป่ากับที่ดินทั่วไปที่มิใช่ป่า โดยประสงค์จะให้ที่ป่าครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่า และสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ร่วมกัน แต่เนื่องจากในการยกร่างผู้แทนกระทรวงเกษตรชี้แจงว่า เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ต้องการตัดสิทธิของผู้ที่ถือครองที่ดินมือเปล่า ด้วยเหตุดังกล่าวจึงได้ถือเกณฑ์การได้มาตามกฎหมายที่ดินเป็นหลักในการพิจารณาว่าที่ดินนั้นเป็นป่าหรือไม่ เพราะไม่ประสงค์ให้กระทบต่อสิทธิของบุคคลที่ได้รับมาหรือมีอยู่ก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับหลักการในมาตรา ๑๓๓๔[๓]แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าการได้มาซึ่งที่ดินของรัฐให้เป็นไปตามที่กฎหมายที่ดินกำหนด กล่าวคือ ถ้าบุคคลใดมีสิทธิในที่ดินตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติรองรับสิทธินั้นไว้แล้ว ที่ดินนั้นก็พ้นสภาพจากการเป็นป่าตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔
ในการพิจารณาเกี่ยวกับสถานะของที่ดินที่มีใบจอง[๔] และมีหลักฐานการแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) ตามมาตรา ๕[๕] แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๙๖ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๕ ทั้งสองกรณีเป็นการดำเนินการตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติไว้ โดยได้ยอมรับการที่บุคคลเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐ ซึ่งสามารถดำเนินการเพื่อขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต่อไปได้ มิใช่ถือว่าที่ดินนั้นเหมือนกับที่ดินรกร้างว่างเปล่าทั่วไปที่ผู้ครอบครองทำประโยชน์ไม่มีสิทธิอันใดในที่ดินนั้นเลย การที่บุคคลจะแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) ต้องแสดงหลักฐานให้ปรากฏว่าได้มีการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ซึ่งโดยสภาพที่ดินต้องมีการบุกเบิกแผ้วถางทำประโยชน์จนพ้นสภาพป่ามาก่อนแล้ว สำหรับการออกใบจองนั้นเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดที่ดินให้แก่ประชาชนตามประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อทางราชการได้จัดให้บุคคลเข้าครอบครองที่ดินแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะออกใบจองให้ไว้เป็นหลักฐานก่อนการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามมาตรา ๓๐[๖] แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนั้น เมื่อได้พิจารณาแล้วว่า หลักฐานการแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) และใบจอง เป็นเอกสารที่ทางราชการออกให้แก่บุคคลโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน และอยู่ในกระบวนการที่บุคคลจะได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินต่อไปแล้ว จึงถือว่าที่ดินนั้นเป็นที่ดินที่บุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน และไม่เป็นป่าตามมาตรา ๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔[๗]
ประเด็นที่สอง การทำไม้หวงห้ามหรือเก็บหาของป่าหวงห้ามที่ยังคงมีอยู่ในที่ดิน โดยผู้ครอบครองที่ดินมีเอกสาร ส.ค. ๑ หรือใบจอง จะต้องได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ก่อนดำเนินการตัดฟันไม้หวงห้ามหรือเก็บหาของป่าหวงห้าม หรือไม่ อย่างไรนั้น เห็นว่า การทำไม้[๘] หวงห้ามตามมาตรา ๑๑[๙] หรือการเก็บหาของป่า[๑๐] หวงห้ามตามมาตรา ๒๙[๑๑] แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ อาจแยกพิจารณาออกได้เป็นสองกรณี คือ การทำไม้หวงห้ามและการเก็บหาของป่าหวงห้ามในกรณีทั่วไป กฎหมายว่าด้วยป่าไม้ควบคุมเฉพาะการกระทำในพื้นที่ป่า และกรณีการทำไม้สักและไม้ยางไม่ว่าจะขึ้นอยู่ในที่ดินใดก็จะต้องขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ เมื่อได้พิจารณาในประเด็นที่หนึ่งแล้วว่าที่ดินที่มีการแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) และที่ดินที่มีใบจองไม่ถือว่าเป็นป่าตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ดังนั้น การทำไม้หรือการเก็บหาของป่าหวงห้ามในที่ดิน ส.ค. ๑ หรือที่ดินที่มีใบจองโดยทั่วไปจึงไม่ต้องได้รับอนุญาตหรือสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ เว้นแต่การทำไม้สักหรือไม้ยางจึงต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้
สำหรับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาตามที่เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ฝ่ายที่หนึ่งนำมาประกอบการพิจารณา ที่ว่า การทำไม้หวงห้ามในที่ดินในเขตนิคมสร้างตนเองตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ นั้น ถ้าได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยละเอียดแล้วจะเห็นได้ว่า ในเรื่องนั้นมีประเด็นพิจารณาเกี่ยวกับการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่กันไว้เป็นพื้นที่ป่าส่วนกลาง มิได้จัดให้ประชาชนเข้าทำประโยชน์ ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐอยู่ จึงเข้าองค์ประกอบเป็นป่าตามนิยามในพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ การทำไม้หวงห้ามจึงต้องนำกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ไปใช้บังคับ[๑๒]
ประเด็นที่สาม หนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน นอกเหนือจากโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว ยังมีหนังสือชนิดใดอีก นั้น ข้อหารือในประเด็นนี้มิใช่การปรึกษาขอความเห็นทางกฎหมายอันเกี่ยวกับการใช้บังคับกฎหมาย ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาตามมาตรา ๗ (๒)[๑๓] แห่งพระราชบัญญัติ
คณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นเพียงการสอบถามรายละเอียดของกฎหมายเท่านั้น การให้ความเห็นโดยยังไม่ปรากฏปัญหาที่หารือชัดเจนอาจก่อให้เกิดปัญหาในการนำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาไปปรับใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๗) จึงไม่รับข้อหารือในประเด็นที่สามนี้ไว้พิจารณา


(ลงชื่อ)   ชัยวัฒน์  วงศ์วัฒนศานต์
(นายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์)
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา



สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
        มีนาคม ๒๕๔๔


  ส่งพร้อมหนังสือ ที่ นร ๐๖๐๑/๐๓๒๙ ลงวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๔ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
[๑] มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
 (๑) ป่า หมายความว่า ที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน
ฯลฯ                                                        ฯลฯ
[๒] มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
 (๑) ป่า หมายความว่า สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่า
ฯลฯ                                                        ฯลฯ
[๓] มาตรา ๑๓๓๔ ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดินนั้น ท่านว่าบุคคลอาจได้มาตามกฎหมายที่ดิน
[๔] มาตรา ๑ ในประมวลกฎหมายนี้
ฯลฯ                                                        ฯลฯ
ใบจอง หมายความว่า หนังสือแสดงการยอมให้เข้าครอบครองที่ดินชั่วคราว
ฯลฯ                                                        ฯลฯ
[๕] มาตรา ๕ ให้ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
การแจ้งการครอบครองตามความในมาตรานี้ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่ผู้แจ้งแต่ประการใด
[๖] มาตรา ๓๐ เมื่อได้จัดให้บุคคลเข้าครอบครองในที่ดินรายใดแล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบจองให้ไว้เป็นหลักฐานก่อน และเมื่อปรากฏแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ว่าบุคคลที่ได้จัดให้เข้าครอบครองที่ดินได้ทำประโยชน์ในที่ดิน และทั้งได้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนด และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดโดยครบถ้วนแล้ว ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้โดยเร็ว
[๗] คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๙๖๐/๒๕๓๙ ไม้พลวง ไม้เขว้า ไม้มะค่าแต้ อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ขึ้นอยู่นอกเขตที่ดินตามหนังสือแจ้งการครอบครองที่ดิน จึงไม่ใช่ไม้ในป่า              *[๘] มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
ฯลฯ                                                        ฯลฯ
[๘] ทำไม้ หมายความว่า ตัด ฟัน กาน โค่น ลิด เลื่อย ผ่า ถาก ทอน ขุด ชักลากไม้ในป่า หรือนำไม้ออกจากป่าด้วยประการใดๆ และหมายความรวมถึงการกระทำดังกล่าวกับไม้สักหรือไม้ยางที่ขึ้นอยู่ในที่ดินที่มิใช่ป่า หรือการนำไม้สักหรือไม้ยางออกจากที่ดินที่ไม้นั้นๆ ขึ้นอยู่ด้วย
ฯลฯ                                                        ฯลฯ
[๙] มาตรา ๑๑  ผู้ใดทำไม้ หรือเจาะ หรือสับ หรือเผา หรือทำอันตรายด้วยประการใดๆ แก่ไม้หวงห้าม ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือได้รับสัมปทานตามความในพระราชบัญญัตินี้ และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฎกระทรวงหรือในการอนุญาต
ฯลฯ                                                        ฯลฯ
[๑๐] มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
ฯลฯ                                                        ฯลฯ
(๗) ของป่า หมายความว่า บรรดาของที่เกิดหรือมีขึ้นในป่าตามธรรมชาติ คือ
ก. ไม้ รวมทั้งส่วนต่างๆ ของไม้ ถ่านไม้ น้ำมันไม้ ยางไม้ ตลอดจนสิ่งอื่นๆ ที่เกิดจากไม้
ข. พืชต่างๆ ตลอดจนสิ่งอื่นๆ ที่เกิดจากพืชนั้น
ค. รังนก ครั่ง รวงผึ้ง น้ำผึ้ง ขี้ผึ้ง และมูลค้างคาว
ง. หินที่ไม่ใช่แร่ตามกฎหมายว่าด้วยแร่
และหมายความรวมถึงถ่านไม้ที่บุคคลทำขึ้นด้วย
ฯลฯ                                                        ฯลฯ
[๑๑] มาตรา ๒๙ ผู้ใดเก็บหาของป่าหวงห้ามหรือทำอันตรายด้วยประการใดๆ แก่ของป่าหวงห้ามในป่า ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และต้องเสียค่าภาคหลวง กับทั้งต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฎกระทรวงหรือในการอนุญาต
การอนุญาตนั้น พนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีแล้ว จะอนุญาตให้ผูกขาดโดยให้ผู้รับอนุญาตเสียเงินค่าผูกขาดให้แก่รัฐบาลตามจำนวนที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้ การอนุญาตโดยวิธีผูกขาด ให้กระทำได้เฉพาะในกรณีที่ของป่าหวงห้ามเป็นของมีค่าหรือหายาก หรือเฉพาะในเขตป่าที่ห่างไกลและกันดาร หรือมีความจำเป็นในวิธีการเก็บหาอันจำต้องให้อนุญาตโดยวิธีผูกขาด
[๑๒] บันทึก เรื่อง หารือปัญหาข้อกฎหมายกรณีการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ส่งถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพร้อมกับหนังสือ ที่ นร ๐๖๐๑/๔๓๒ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๖
[๑๓] มาตรา ๗ คณะกรรมการกฤษฎีกามีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) จัดทำร่างกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีหรือมติของคณะรัฐมนตรี
(๒) รับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐ หรือตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี หรือมติของคณะรัฐมนตรี
(๓) เสนอความเห็นและข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้มีกฎหมายหรือแก้ไขปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมาย

..........................................................................
ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  7/2539
นาย บุ เบ้า เพชร
     โจทก์
นาย นพพร จันทรถง ในฐานะนายอำเภอวารินทร์ชำราบ
     จำเลย

ป.พ.พ. มาตรา 1369
ป.วิ.พ. มาตรา 84

           โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดิน ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ เท่ากับอ้างว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองหรืออีกนัยหนึ่งที่ดินเป็นของโจทก์ เมื่อจำเลยให้การว่าที่ดินไม่ใช่ของโจทก์เพราะเป็นที่ดินสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่ดินดังกล่าวไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ดังนั้น โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบ ให้ได้ความว่าที่ดินเป็นของโจทก์ และโดยที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์ได้ครอบครองที่ดินอยู่ก็ไม่ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1369 เพราะโจทก์จะยกเอาการครอบครองขึ้นยันต่อรัฐได้ต่อเมื่อโจทก์ได้สิทธิครอบครองมาโดยชอบตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด และกฎหมายบัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิครอบครองนั้นไว้ด้วย โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ที่ดินสาธารณะ

________________________________


          โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินตั้งอยู่ที่บ้านหนองสะโน หมู่ที่ 7 ตำบลท่าช้าง อำเภอวารินชำราบจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่มีอาณาเขตติดต่อตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ที่ดินแปลงดังกล่าวโจทก์รับมรดกมาจากบิดามารดาและครอบครองสืบสิทธิติดต่อกันมาเป็นเวลาประมาณ 60 ปีแล้ว โดยโจทก์ได้เข้าครอบครองตั้งแต่ปี 2508 ต่อมาทางราชการได้ออกใบ ภ.บ.ท5 สำหรับที่ดินให้แก่โจทก์ไว้เป็นหลักฐานและโจทก์ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาต่อมาอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานีได้มีประกาศลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2533 ให้ประชาชนขอจับจองที่ดิน โจทก์ได้ไปยื่นเรื่องราวขอจับจองที่ดินดังกล่าวหลังจากที่เจ้าหน้าที่รังวัดสำนักงานที่ดินอำเภอวารินชำราบได้ทำการรังวัดที่ดินที่โจทก์ได้ขอจับจองไว้แล้ว ได้มีชาวบ้านไปร้องเรียนต่อนายอำเภอวารินชำราบ ต่อมาวันที่2 กุมภาพันธ์ 2534 อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานีได้นำเสาไม้มาปักลงในที่ดินที่โจทก์ได้ขอจับจองไว้และมีป้ายเขียนไว้ว่า "ที่สาธารณประโยชน์ห้ามบุกรุก" การกระทำดังกล่าวของทางราชการอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานีทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะไม่สามารถที่จะได้รับใบจับจองที่ดินดังกล่าวได้ จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ ให้จำเลยรื้อถอนป้ายที่ได้นำมาปักลงไว้ในที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองและให้จำเลยออกใบจองที่ดินดังกล่าวตามฟ้องให้แก่โจทก์
          จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ที่โจทก์จะมีสิทธิครอบครอง เพราะที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินสาธารณะที่ประชาชนหมู่ที่ 6 และ 7ตำบลท่าช้าง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยใช้เป็นที่เผาและฝังศพ และทางราชการได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณะไว้เป็นหลักฐานตั้งแต่ปี 2496ดังนั้น แม้โจทก์จะบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์นานเท่าใด โจทก์ก็ไม่อาจอ้างสิทธิในที่ดินแปลงดังกล่าวได้ขอให้ยกฟ้อง
          ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
          โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้ภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยเนื่องจากโจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นป่าช้าสาธารณะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยที่ที่ดินพิพาทไม่มีเอกสารสิทธิซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทดังนั้น โจทก์จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายเป็นคุณแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1367, 1369 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 84(2) เมื่อจำเลยสืบไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองในที่พิพาท พิเคราะห์แล้วคดีนี้โจทก์อ้างว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโจทก์จึงมีสิทธิครอบครอง ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง ไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ที่โจทก์จะมีสิทธิครอบครอง เพราะที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้โจทก์จะเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์นานเท่าใดก็ไม่อาจอ้างสิทธิในที่ดินแปลงดังกล่าวได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ที่อ้างว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเท่ากับอ้างว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรืออีกนัยหนึ่งที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่เป็นที่ดินของโจทก์ที่โจทก์จะมีสิทธิครอบครอง เพราะเป็นที่ดินสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ดังนั้นโจทก์จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และโดยที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้จะปรากฎว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก็ไม่ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานเพราะโจทก์จะยกเอาการครอบครองขึ้นยันต่อรัฐได้ต่อเมื่อโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทมาโดยชอบตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด และกฎหมายบัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิครอบครองนั้นไว้ด้วย ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีภาระการพิสูจน์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ที่ดินสาธารณะจึงชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
          พิพากษายืน


( อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ - สุทธิ นิชโรจน์ - สมพล สัตยาอภิธาน )


หมายเหตุ
คดีนี้มีข้อสังเกตด้วยกัน3ประการ
          1.ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าภาระการพิสูจน์ในคดีนี้ตกแก่โจทก์โดยให้เหตุผลว่า"แม้จะปรากฏว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก็ไม่ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานเพราะโจทก์จะยกเอาการครอบครองขึ้นยันต่อรัฐได้ต่อเมื่อโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทมาโดยชอบตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดและกฎหมายบัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิครอบครองนั้นไว้ด้วย"ในความเห็นของผู้หมายเหตุเข้าใจว่าการที่จำเลยต่อสู้คดีว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณะที่ประชาชนใช้ร่วมกันเท่ากับเป็นการต่อสู้ว่าโจทก์ไม่อาจยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทและใช้ยันจำเลยในฐานะเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูแลที่ดินสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินได้เลย(ดูพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พ.ศ.2457มาตรา122)กรณีจึงไม่อาจนำบทสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1367,1369มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้ส่วนที่ศาลฎีกาให้เหตุผลดังกล่าวนั้นน่าจะเป็นการยกเหตุผลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1305ขึ้นอ้างและเป็นการมองในแง่ของการครอบครองเป็นสำคัญข้อนี้ไม่ว่าจะมองในแง่ของการยึดถือหรือการครอบครองก็สอดคล้องกันเนื่องจากหากยึดถือไม่ได้ก็ย่อมไม่มีการครอบครองอยู่นั่นเองเมื่อจำเลยไม่อาจอ้างเอาประโยชน์แห่งข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้แล้วการกำหนดหน้าที่นำสืบจึงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา84ที่กำหนดให้ฝ่ายที่กล่าวอ้างมีหน้าที่นำสืบ
          คำพิพากษาศาลฎีกานี้วินิจฉัยตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่592/2513ซึ่งวินิจฉัยไว้ว่าโจทก์ฟ้องว่าโจทก์รับมรดกที่พิพาทและครอบครองติดต่อกันมาราว60ปีต่อมาจำเลยซึ่งเป็นนายอำเภอออกคำสั่งให้โจทก์ออกจากที่พิพาทโดยอ้างว่าเป็นหนองน้ำสาธารณะโจทก์จึงมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทมิใช่ของโจทก์แต่เป็นหนองน้ำสาธารณะดังนี้เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลยให้การว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นที่สาธารณะและปรากฏว่าที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญกรรมสิทธิ์โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์
          2.ที่ดินพิพาทคดีนี้เป็นที่ดินซึ่งไม่มีเอกสารทางราชการใดๆออกไว้หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิของทางราชการออกให้ไว้ปัญหาว่าโจทก์จะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1373หรือไม่หากพิจารณาจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1305แล้วจะเห็นได้ว่าสาธารณสมบัติของแผ่นดินสามารถโอนให้แก่กันได้โดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาการที่โจทก์มีชื่ออยู่ในทะเบียนที่ดินเช่นโฉนดที่ดินเป็นเรื่องที่ทางราชการได้ออกเอกสารสิทธิให้แก่ราษฎรโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดินเสมือนหนึ่งว่ามีการโอนที่ดินให้แก่ราษฎรแล้วดังนี้ผู้หมายเหตุจึงมีความเห็นว่ากรณีข้างต้นโจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1373ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยอย่างไรก็ตามหากจำเลยให้การต่อสู้คดีด้วยว่าการออกโฉนดที่ดินไม่ถูกต้องเพราะโจทก์ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่ากับเป็นการที่จำเลยปฏิเสธความถูกต้องของการออกเอกสารสิทธิดังกล่าวมีผลเสมือนกับการต่อสู้ว่าการโอนที่ดินจากรัฐไปยังโจทก์ไม่ถูกต้องเฉพาะกรณีหลังนี้โจทก์ย่อมไม่อาจยกประโยชน์แห่งข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1373มาเป็นประโยชน์แก่ตนเองได้
          กรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นทางสาธารณะเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่1648/2513วินิจฉัยไว้ว่าผู้มีหนังสือรับของการทำประโยชน์มีหน้าที่นำสืบก่อนส่วนกรณีที่ดินมีโฉนดนั้นเท่าที่ผู้หมายเหตุตรวจสอบยังไม่พบคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยไว้โดยตรงแต่อาจเทียบเคียงได้จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่1202/2523ซึ่งเป็นเรื่องจำเลยต่อสู้ว่าโฉนดที่ดินของโจทก์ออกทับที่ดินจำเลยมีสิทธิครอบครองโฉนดดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
          3.จำเลยในคดีนี้เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูแลที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินหากข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเป็นการโต้แย้งระหว่างราษฎรด้วยกันเองแล้วน่าจะต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใดหากเป็นประเภทที่ราษฎรอาจมีสิทธิครอบครองและใช้ยันในระหว่างกันเองได้แล้วก็อาจนำมาตรา1367,1369มาใช้ได้แม้ว่าอีกฝ่ายจะต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะก็ตาม
           ทนงศักดิ์ ดุลยกาญจน์

..........................................................................................




คำพิพากษาศาลฎีกาที่  293/2535
นาย มา นุ ไชยฤทธิ์
     โจทก์
นาย วีระ ลำ ใย ทอง
     จำเลย

ป.ที่ดิน มาตรา 58 ทวิ, 59
พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5
ข้อ 9

           การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะราย นอกจากจะเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ(3) แล้ว ยังต้องเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนดด้วย ซึ่งระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2515) หมวด 4การขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะราย โดยมิได้แจ้งการครอบครอง กำหนดไว้ในข้อ 9 ว่า "การออกโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ผู้ครอบครองและการทำประโยชน์ ในที่ดินเฉพาะรายโดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดินตาม มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ต้องอยู่ใน หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขดังนี้...(2) ความจำเป็นในกรณีที่ จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ได้คือ...(ค) ในกรณีที่มี ความจำเป็นอย่างอื่น แต่ต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นการเฉพาะราย"ที่ดินพิพาทโจทก์เข้าจับจองครอบครองหลังจากที่ ประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว จึงเป็นที่ดินที่ไม่อาจจะแจ้ง การครอบครองได้ตาม มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497ถึงแม้จะอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายได้ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 58 ทวิ(3) ก็ตาม เมื่อได้ความว่าผู้ว่าราชการจังหวัดมีหนังสือให้ โจทก์ออกจากที่พิพาท แสดงให้เห็นว่าไม่มีการอนุมัติให้ออกหนังสือ รับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายสำหรับที่ดินพิพาท ดังนั้น ที่ดินพิพาท จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนด ไว้ในวันที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ได้.

________________________________


          โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินโดยการจับจองทำประโยชน์ และได้ขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายแต่เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้ ต่อมาจำเลยซึ่งเป็นนายอำเภอมีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์รายงานเท็จต่อผู้ว่าราชการจังหวัดว่าโจทก์บุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ออกจากที่ดิน ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้บังคับจำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ หากขัดขืนให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
          จำเลยให้การว่า ที่ดินตามที่โจทก์อ้างเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์มิได้ครอบครองที่ดินก่อนประมวลกฎหมายที่ดินเริ่มใช้บังคับ จึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
          ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
          โจทก์อุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
          โจทก์ฎีกา
          ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าโจทก์เข้าไปจับจองครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2507 หลังจากที่ประมวลกฎหมายที่ดินมีผลใช้บังคับแล้ว โจทก์เคยยื่นเรื่องราวขอมีสิทธิในที่ดินต่อทางราชการ แต่ทางราชการยังไม่ดำเนินการให้ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้มีหนังสือให้โจทก์ออกจากที่พิพาท คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จะขอให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินที่พิพาทให้โจทก์เฉพาะรายตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ (3) และมาตรา 59 ได้หรือไม่  
          พิเคราะห์แล้ว กรณีของโจทก์นั้นเป็นเรื่องอ้างว่าเป็นการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะราย ซึ่งในเรื่องนี้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 บัญญัติว่า "ในกรณีที่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมาขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายไม่ว่าจะได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามมาตรา 58แล้วหรือไม่ก็ตาม เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควร ให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วแต่กรณีได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด..." มาตรา 58 ทวิวรรคสอง บัญญัติว่า "บุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามวรรคหนึ่งให้ได้คือ...
          (3) ผู้ซึ่งครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ในที่ดิน ภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ และไม่มีใบจอง ใบเหยียบย่ำ หรือไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ"
          วรรคสี่บัญญัติว่า "สำหรับบุคคลตามวรรคสอง (2) และ (3)ให้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วแต่กรณีได้ไม่เกินห้าสิบไร่ ถ้าเกินห้าสิบไร่ จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะราย ทั้งนี้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด" ตามบทกฎหมายดังกล่าวนอกจากจะเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน บทบัญญัติมาตราต่าง ๆ แล้ว การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายจะต้องเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนดด้วย ซึ่งระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2515)หมวด 4 การขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายโดยมิได้แจ้งการครอบครอง กำหนดไว้ในข้อ 9 ว่า "การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ผู้ครอบครองและการทำประโยชน์ในที่ดินเฉพาะรายโดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดินตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขดังนี้...
          (2) ความจำเป็นในกรณีที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ได้คือ...
          (ค) ในกรณีที่มีความจำเป็นอย่างอื่น แต่ต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะราย"
          ที่ดินที่พิพาทนั้นโจทก์เข้าจับจองครอบครองหลังจากที่ประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว จึงเป็นที่ดินที่ไม่อาจจะแจ้งการครอบครองได้ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 ถึงแม้จะอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 58 ทวิ (3) ก็ตาม แต่ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาไม่ได้ความว่าโจทก์ได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะราย กลับได้ความว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้มีหนังสือให้ โจทก์ออกจากที่พิพาทอันเป็นข้อแสดงให้เห็นว่าไม่มีการอนุมัติให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายสำหรับที่ดินที่พิพาท ดังนั้น ที่ดินที่พิพาทจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนดไว้ในอันที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่อาจจะบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
          พิพากษายืน.


( อุดม เฟื่องฟุ้ง - ก้าน อันนานนท์ - อัมพร ทองประยูร )


หมายเหตุ