ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โจทก์จะขอให้ศาลหยิบยกข้อเท็จจริงนอกฟ้องมาลงโทษจำเลยไม่ได้

เป็นหลักการใหญ่ที่กฎหมายห้ามศาลมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง แปลว่าศาลก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย อย่าเข้าใจว่าศาลสั่งอย่างไรจะถูกต้องเสมอไป ในฐานคู่ความหรือโจทก์จำเลยย่อมมีอำนาจตามกฎหมายที่จะยื่นคำร้องให้ศาลดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ และศาลจะต้องสั่ง ส่วนจะสั่งอย่างไรก็เป็นเรื่องของศาลที่จะต้องดำเนินการให้ชอบด้วยกฎหมาย ดูตัวอย่างคดี...

คดีแดงที่  454/2488
อัยยการแพ่ร จ.
นายหมื่น นายน้อย จ.ล.


ก.ม.อาญา ม.63,120,250
วิ.อาญา ม.158 (5) ,192 วรรค 1, วรรค 2

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานสมคบกันฆ่าพลตำรวจสมบูรณ์, ซึ่งกระทำการตามหน้าที่อันชอบด้วยกฎหมาย ได้ความว่านายน้อยจำเลยใช้ไม้ตีพลตำรวจสุธรรมเช่นนี้ จะลงโทษนายน้อยฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานไม่ได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้อง
แม้จำเลยจะได้กระทำผิดในที่แห่งเดียวกัน แต่เป็นเรื่องเกิดขึ้นในปัจจุบันทันด่วน ต่างคนต่างทำโดยมิได้มีการคบคิดกัน ไม่ถือว่าเป็นตัวการด้วยกัน

…………………..……………………………………………………………..

โจทก์ฟ้องว่า "จำเลยสมคบกันใช้มีดแทงพลตำรวจสมบูรณ์ซึ่งกระทำการตามหน้าที่อันชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ ตำรวจสมบูรณ์กับพวกได้ห้ามปรามจำเลยทั้ง ๒ ซึ่งเมาสุราแสดงกิริยาวุ่นวายในที่ชุมนุมชน โดยจำเลยประสงค์จะต่อสู้ขัดขวางพลตำรวจสมบูรณ์กับพวกโดยเจตนาจะฆ่าพลตำรวจสมบูรณ์ให้ตาม พลตำรวจได้ถึงแก่ความตายในวันรุ่งขึ้น" ขอให้ลงโทษจำเลยตามอาญา ม.๖๓,๑๒๐ และ ๒๕๐
จำเลยทั้ง ๒ ปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่านายหมื่นจำเลยเป็นผู้แทงพลตำรวจสมบูร์นายน้อยจำเลยสมคบกับนายหมื่น พิพากษาลงโทษตาม ม.๒๕๐ (๒) ,๖๓
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่ฟังว่านายน้อยจำเลยสมคบกับนายหมื่น โดยนายน้อยใช้ไม้ทำร้ายพลตำรวจสุธรรม ฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวถึงการทำร้ายพลตำรวจสุธรรม ลงโทษนายน้อยไม่ได้ พิพากษาแก้ปล่อยนายน้อยจำเลย
นายหมื่นฎีกาขอให้ปล่อย โจทก์ฎีกาว่านายน้อยสมคบกับนายหมื่น และฟ้องของโจทก์ลงโทษนายน้อยฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานได้
ศาลฎีกาฟังว่า นายหมื่นจำเลยใช้มีดแทงพลตำรวจสมบูรณ์ถึงตาย นายน้อยจำเลยใช้ไม้ตีพลตำรวจสุธรรม เป็นเรื่องเกิดขึ้นในปัจจุบันทันด่วน ต่างคนต่างทำโดยมิได้มีการคบคิดกัน นายน้อยจึงไม่มีผิดฐานเป็นผู้สมคบกับนายหมื่นจำเลย และจะลงโทษนายน้อยจำเลยฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานไม่ได้ เพราะฟ้องของโจทก์ระบุ จำเลยสมคบกันใช้มีดแทงพลตำรวจสมบูรณ์ ส่วนข้อความในฟ้องตอนต่อไปเป็นข้อความอธิบายถึงรายละเอียดของข้อความตอนแรกเมื่อไม่ได้ความว่านายน้อยสมคบกับนายหมื่นในการใช้มีดแทง และไม่ได้ความว่านายน้อยต่อสู้ขัดขวางพลตำรวจสมบูรณ์แล้วก็ลงโทษนายน้อยไม่ได้ โจทก์จะขอให้ศาลหยิบยกข้อเท็จจริงนอกฟ้อง มาลงโทษจำเลยไม่ได้ พิพากษายืน


(สัดพลี,ประมูล,นาถปรีชา,สุทธิอรรถ )

ศาลชั้นต้น - + มีนะกนิต
ศาลอุทธรณ์ -

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การที่ศาลไม่เชื่อคำพยานฝ่ายใด จะถือได้หรือไม่ว่าคำพะยานฝ่ายนั้นเบิกความเท็จ?

เรื่องนี้มีหลักอยู่ว่า การที่ศาลไม่เชื่อคำพยานฝ่ายใดนั้น ไม่เป็นเหตุพอให้ถือได้ว่า คำพะยานฝ่ายนั้นเป็นเท็จไปด้วย...ดูตัวอย่างจากคำพิพากษาฎีกา

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  812/2483
อัยยการลำพูน
     โจทก์
นายมูล ถาพนัสลัก
     ล.

 ป.อ. มาตรา 155, 156
          กรณีที่ถือว่าคำเบิกความไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี
________________________________ 
          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จโดยกล่าวว่า จำเลยเบิกความเท็จในคดีที่จำเลยต้องหาว่าตัดฟันชักลากไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตในข้อสำคัญว่าภายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานได้สอบสวนจำเลยที่สถานีตำรวจกิ่งแม่ทาวันเดียว ไม่ได้อ่านให้ฟังไม่ได้ให้ลงชื่ออีก ๑๑ วัน จึงให้ลงชื่อ แต่ก็ไม่ได้อ่านให้ฟังคำให้การชั้นสอบสวนที่โจทก์ส่งศาล ไม่ได้อ่านให้จำเลยฟัง นายร้อยตำรวจตรีแก้วไม่เคยสอบสวน เมื่อเจ้าพนักงานไปทำแผนที่ ทำกันอย่างไรไม่ทราบ จำเลยไม่ได้บอกเขตต์ จำเลยไม่ได้บอกเขตต์จับจองจำเลยเคยเซ็นชื่อที่บ้านกำนันครั้ง ๑ ที่สถานีตำรวจครั้ง ๑ รูปแผนที่ไม่เหมือนกัน แผนที่ที่เจ้าพนักงานไปรังวัดครั้งแรกนายบุญยนต์เป็นคนทำไม่ปรากฏในสำนวนน
          ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ
          ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อความที่โจทก์กล่าวว่าจำเลยเบิกความเท็จนั้น ล้วนแต่เป็นพลความคือไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

           ( อิศร - อรรถกฤต ช.เพ็ญชาติ - สุทธิอรรถนฤมนตร์ )
 ศาลชั้นต้น - ++ 
ศาลอุทธรณ์ - ++

หมายเหตุ   คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาดังมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า “ นอกจากนี้ยังมีหลักอยู่ว่าการที่ศาลไม่เชื่อคำพยานฝ่ายใดนั้น ไม่เป็นเหตุพอที่ให้ถือได้ว่า คำพะยยานฝ่ายนั้นเป็นเท็จไปด้วย...”

การเบิกความให้ความเห็นก็เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จได้

การเบิกความที่จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องเบิกความเกี่ยวกับข้อเท็จจริง  ไม่ใช่ใช่ข้อกฎหมายเท่านั้น การให้ความเห็น แม้ภายหลังไม่ตรงกับความจริงก็ผิดฐานเบิกความเท็จได้ เรื่องเป็นอย่างไร โปรดพิจารณา...

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  410/2474
พระภิกษุสม
     โจทก์
นายร้อนโทมูล นายกำไล
     จำเลย


อาชญา มาตรา 155-156-15
วิธีพิจารณาอาชญา

          การที่วิจักขณะพะยานเบิกความออกความเห็นหรือความสันนิษฐานโดยสุจริตนั้น แม้ภายหลังไม่ตรงกับความจริง ก็ยังไม่มีผิดฐานเบิกความเท็จ
          ไต่สวนมูลฟ้อง หน้าที่นำสืบ
          เมื่อศาลไต่สวนมูลฟ้อง เห็นว่าจำเลยไม่มีผิดตามกฎหมายแล้วไม่ออกหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาได้ โจทก์หาว่าจำเลยเบิกความเท็จเป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบ

________________________________


          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จแลกระทำพะยานเท็จตามกฎหมายลักษณะอาชญา ม.๑๕๕-๑๕๖-๑๕๗-๗๑ โดยหาว่า มึ่งเป็นวิจักาขณะพะยานในคดีที่ โจทก์ฟ้องหาว่า ก. จำเลยยิงม้าของ โจทก์นั้น เบิกความต่อศาลว่า "ได้ ตรวจแผลม้าแลคลำดูไม่รู้สึกว่ามีของแข็งถูกมือ เข้าใจว่าไม่มีกระสุนปืนอยู่ในแผล แลยืนยันว่าแผลนั้นไม่ใช่แผลถูกกระสุนปืน" แลจำเลยได้ให้การที่อำเภอก็เช่นเดียวกันซึ่ง ก. จำเลยได้อ้างคำให้การนั้นมาเป็นพะยานในขั้นศาลด้วยจนศาลได้พิพากษายกฟ้องในคดีที่โจทก์ฟ้อง ก.เสีย ต่อมา โจทก์ให้แพทย์ผ่าแผลม้าได้กระสุนปืน ๑ กะสุนดังนี้
          ศาลเดิมไต่สวนมูลฟ้องเห็นว่า ม.จำเลยไม่มีผิด จึงไม่ออกหมายเรียก
          ศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตาม
          โจทก์ฎีกาข้อกฎหมาย
          ศาลฎีกาเห็นว่าถ้อยคำที่ ม.เบิกความเป็นแต่ความเห็นแลความสันนิษฐาน แลไม่ส่อให้เห็นว่ามีเจตนาทุจจริตเข้าข้างฝ่ายใด การที่ ม.จะมีผิดดังโจทก์หาจะต้องได้ความว่า ม.ได้รู้แล้วว่าแผลม้านั้นเป็นแผลถูกกระสุนปืนหรือรู้สึกว่ากระสุนปืนอยู่ในแผล แล้วแกล้งมาออกความเห็นไปอย่างอื่น แต่ข้อนี้โจทก์ก็ไม่มีพะยานมาสืบ จึงตัดสินยืนตามศาลล่าง


( วิชัย - พิพาก - พรหม )

ศาลชั้นต้น - หลวงพินิจ+
ศาลอุทธรณ์ - พระยามณู+ธรรม

หมายเหตุ

พูดโดยเชื่อถ้อยคำของผู้อื่นไม่เรียกว่าทุจริตหลอกลวง

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  553/2472
เจ้าจอมมารดาโหมด
     โจทก์
หลวงพูนเลขเสริม
     จำเลย


ป.อ. มาตรา 304, 78
ป.วิ.อ.

          พูดโดยเชื่อถ้อยคำของผู้อื่นไม่เรียกว่าทุจริตหลอกลวง วิธีพิจารณาอาญา อายุความ หน้าที่โจทก์ต้องสืบว่าคดีไม่ขาดอายุความ

________________________________


          คดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๐ ว่า จำเลยหลอกลวงเอาห้องแถวแลตลาดซึ่งไม่ใช่ของตนมาประกันเงินกู้จากโจทก์และกล่าวในฟ้องว่าโจทก์ทราบความทุจริตของจำเลยแล้วจึงได้มาฟ้อง
          ทางพิจารณาปรากฎว่า ห้องแถว ฯลฯ นั้นจำเลยปลูกลงในที่ของ ส.และจำเลยทำสัญญายกกรรมสิทธิให้ ส.แล้ว แต่ ส.บอกว่าถ้าจำเลยส่งค่าเช่าเสมอแล้วจะไม่คิดเอาเป็นกรรมสิทธิต่อมาวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๐ มีเจ้าหนี้มายึดห้องแถวนั้น ส.ร้องขัดทรัพย์ ศาลก็ได้สั่งให้ถอนการยึดแต่วันนั้น เพราะเห็นว่า ส.เป็นเจ้าของห้องแถว โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ จำเลยจึงต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความ
          ศาลอาญาตัดสินจำคุกจำเลย ๖ เดือน
          ศาลอุทธรณ์ตัดสินปล่อยโดยเห็นว่าจำเลยไม่ได้หลวกลวงและโจทก์ทราบข้อความเรื่องยกกรรมสิทธิดีแล้ว
          ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยบอกแก่โจทก์ให้ห้องแถวเป็นประกันนั้นโดยเชื่อถ้อยคำของ ส.จึงไม่มีการทุจริต และคดีนี้เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องสืบว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ เรื่องนี้โจทก์ทราบความทุจริต+ ๓ เดือนแล้ว คดีจึงขาดอายุความ ให้ยกฟ้อง


( หริศ - ศรี - นล )


หมายเหตุ

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยมีความหมายแค่ไหน?

ศาลฎีกาได้พิพากษาวางหลักในกรณีดังกล่าวไว้อย่างชัดเจนตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๐๔๒/๒๕๔๓

คดีแดงที่  3042/2543
พนักงานอัยการจังหวัดลพบุรี โจทก์
นางลำเภย ศรีสม จำเลย


ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๗

บทบัญญัติตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๗ มีความหมายว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวง ศาลมีอำนาจใช้ ดุลพินิจวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพียงใดหรือไม่ พยานหลักฐานใดขัดต่อเหตุผลไม่น่ารับฟัง และในกรณีที่ศาลจะพิพากษาลงโทษบุคคลใด พยานหลักฐานในคดีนั้นต้องมั่นคงแน่นหนา และมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง หากพยานหลักฐานในสำนวนมีข้อพิรุธน่าระแวงสงสัย ไม่มั่นคงพอที่จะรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย โดยพิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าหากพยานหลักฐานของโจทก์มีข้อแตกต่างขัดแย้งกันเอง หรือมีข้อน่าสงสัยบางประการแล้ว ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสียทุกกรณีไป ข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยอันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์นั้นต้องเป็นข้อบกพร่องของพยานหลักฐานโจทก์ที่ทำให้น้ำหนักคำพยานเลื่อนลอยไม่มั่นคงพอ ที่จะรับฟังเป็นความจริงได้โดยสนิทใจ ส่วนข้อแตกต่างขัดแย้งกันในกรณีอื่นที่ไม่มีผลต่อการรับฟังข้อเท็จจริงตาม คำพยานหาเป็นข้อพิรุธอันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์ไม่ ข้อแตกต่างผิดเพี้ยนกันในรายละเอียดปลีกย่อยอันเป็น พลความหรือข้อพิรุธที่ไม่เกี่ยวกับการรับฟังข้อเท็จจริงที่มุ่งจะพิสูจน์ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ย่อมไม่เป็นเหตุทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานของโจทก์

…………………..……………………………………………………………..

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๔, , , ๑๑, ๑๓ ทวิ, ๖๒, ๘๙, ๑๐๖ และ นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๖๘๖/๒๕๓๙ ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นเหตุบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๓ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๘๙ ลงโทษจำคุก ๕ ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๓ ปี ๔ เดือน คำขอให้นับโทษต่อให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขาย และขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับตามฟ้องจริงหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๒๗ บัญญัติว่า
"ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงอย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย"
บทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นมีความหมายว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวง ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพียงใดหรือไม่ พยานหลักฐานใดขัดต่อเหตุผลไม่น่ารับฟัง และในกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษบุคคลใด พยานหลักฐานในคดีนั้นต้องมั่นคงแน่นหนา และมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจาก ข้อสงสัยว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง หากพยานหลักฐานในสำนวนนี้มีข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยไม่มั่นคงพอที่จะรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย โดยพิพากษา ยกฟ้องโจทก์ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าหากพยานหลักฐานของโจทก์มีข้อแตกต่างขัดแย้งกันเอง หรือมีข้อน่าสงสัย บางประการแล้ว ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียทุกกรณีไป ข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยอันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ต้องเป็นข้อบกพร่องของพยานหลักฐานโจทก์ที่ทำให้น้ำหนักคำพยานเลื่อนลอยไม่มั่นคงพอที่จะรับฟัง เป็นความจริงได้โดยสนิทใจ ส่วนข้อแตกต่างขัดแย้งกันในกรณีอื่นที่ไม่มีผลต่อการรับฟังข้อเท็จจริงตามคำพยาน หาเป็นข้อพิรุธอันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์ไม่ เป็นต้นว่า ข้อแตกต่างผิดเพี้ยนกันในรายละเอียดปลีกย่อยอันเป็นพลความหรือข้อพิรุธที่ไม่เกี่ยวกับการรับฟังข้อเท็จจริงที่มุ่งจะพิสูจน์ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ย่อมไม่เป็นเหตุทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานของโจทก์ สำหรับคดีนี้โจทก์มีพยานสำคัญคือนายบำรุง สุขสิงห์ กับนายสุรศักดิ์ วิศิษฐ์สรศักดิ์ เจ้าพนักงานสังกัดสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นผู้จับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความตรงกันว่า ในวันเกิดเหตุพยานกับพวกร่วมกันวางแผนจับกุมจำเลยโดยใช้ให้สายลับไปล่อซื้อยาเสพติดให้โทษ จากจำเลย ได้นัดหมายและซักซ้อมกันให้นายสุรศักดิ์ร่วมทางไปกับสายลับ ส่วนนายปรุงคอยอยู่ที่รถยนต์ซึ่งจอดรถอยู่ห่างจากบ้านของจำเลยประมาณ ๒๐๐ เมตร สำหรับเหตุการณ์ต่อจากนั้นนายสุรศักดิ์เบิกความยืนยันว่า เห็นจำเลย ขายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่สายลับในราคา ๑๔๐ บาท หลังจากนั้นสายลับกับนายสุรศักดิ์กลับไปหานายปรุง สายลับมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่นายปรุงแล้วแยกทางกลับไป พยานโจทก์ทั้งสองเข้าตรวจค้นตัวจำเลย ก็พบธนบัตรของกลางที่สายลับนำไปซื้อยาเสพติดให้โทษอยู่ที่จำเลยสมจริง ทั้งจำเลยยอมรับสารภาพต่อพยานโจทก์ทั้งสองว่า ได้เงินของกลางมาจากการขายเมทแอมเฟตามีน จำเลยยังได้เขียนคำรับสารภาพของตนเองไว้ด้วย ตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำรับสารภาพเอกสารหมาย ป.จ. ๔ และ ป.จ. ๕ (ศาลอาญา) ทนายจำเลยมิได้ตามประเด็นไปถามค้านพยานโจทก์เหล่านี้เพื่อซักฟอกพยานและพิสูจน์ความจริงตามกระบวนความ คำเบิกความของ นายปรุงกับนายสุรศักดิ์ จึงไม่ปรากฏข้อพิรุธอันจะเป็นเหตุให้ทำลายน้ำหนักคำเบิกความของบุคคลทั้งสองแต่ประการใด ที่จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความว่า ก่อนจับกุมจำเลยพยานได้ขออนุมัติต่อนายราชันย์ วรรศิริ ซึ่งเป็น ผู้บังคับบัญชาเพื่อใช้เงินของกลางล่อซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลยและได้รับอนุมัติในวันเดียวกัน แต่ลายมือชื่อของนายราชันย์ในช่องผู้อนุมัติในเอกสารหมาย ป.จ. ๑ (ศาลอาญา) แตกต่างไปจากลายมือชื่อที่นายราชันย์เซ็นในบันทึก คำให้การพยาน นอกจากนี้วันเดือนปีใต้ลายมือชื่อผู้อนุมัติในเอกสารหมาย ป.จ. ๑ (ศาลอาญา) ก็เป็นคนละปีกับวันเกิดเหตุ ทำให้น่าสงสัยว่านายปรุงน่าจะมิได้ขออนุมัตินายราชันย์ก่อนดำเนินการจับกุมจำเลยนั้น เห็นว่านายปรุงจะได้ทำการ ล่อซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลยโดยพลการ หรือได้รับความเห็นชอบจากนายราชันย์ก่อนก็ไม่มีผลทำให้น้ำหนัก คำเบิกความของนายปรุงกับนายสุรศักดิ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยเปลี่ยนแปลงไป
ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า หากจำเลยเป็นผู้ขายยาเสพติดให้โทษจริง จำเลยย่อมจะต้องระมัดระวังตัวไม่ขาย ยาเสพติดให้โทษแก่สายลับต่อหน้านายสุรศักดิ์ซึ่งเป็นคนแปลกหน้านั้น เห็นว่า ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษแต่ละรายย่อมมีนิสัยและความประพฤติตลอดจนความระมัดระวังตนแตกต่างกันไป จะถือเป็นหลักเกณฑ์ตายตัวว่า ผู้กระทำความผิดประเภทนี้ย่อมไม่ขายยาเสพติดให้โทษแก่คนแปลกหน้าไม่ได้ เหตุผลที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกาไม่อาจหักล้างคำเบิกความของพยานโจทก์ได้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พยานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้าง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขาย และขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน .

(กำพล ภู่สุดแสวง - วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ - สุรชาติ บุญศิริพันธ์ )

ศาลจังหวัดลพบุรี - นายสรารักษ์ สุวรรณเสรี
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 - นายวิกร อังคณาวิศัลย์

เมื่อผู้มีชื่อใน น.ส.๓ ไม่มีสิทธิครอบครอง เจ้าของที่แท้จริงจะร้องขอให้จดทะเบียนโอนให้ตนได้หรือไม่?

คำตอบคือไม่ได้ เพราะเขาไม่มีสิทธิครอบครองที่จะโอนให้ใครได้ ดูคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๙/๒๕๔๓

คดีแดงที่  69/2543
นางนุ่น ภูถนนนอก ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิต โจทก์
นายจันทา วิลาวัน โดยนายสนอง วิลาวัน ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน จำเลย


ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕), ๒๔๖, ๒๔๗
ป. ที่ดิน มาตรา ๖๑

จำเลยมิใช่ผู้มิสิทธิครอบครองที่พิพาท ฉะนั้น การออก น.ส.๓ ก. เพื่อแสดงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองและ ได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงเป็นการออก น.ส.๓ ก. ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง โจทก์ชอบที่จะดำเนินการออก น.ส.๓ ก. สำหรับที่พิพาทตามสิทธิของโจทก์ จะบังคับให้จำเลยซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโอนสิทธิครอบครอง ให้แก่โจทก์หาได้ไม่ และแม้โจทก์จะมิได้ขอให้เพิกถอน น.ส.๓ ก. ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งเพิกถอน น.ส.๓ ก. ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖ และ ๒๔๗

…………………..……………………………………………………………..

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙ ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น เป็นทรัพย์มรดกของนายสวน ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นชื่อของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินอีกต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จำเลยถึงแก่กรรมโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายสนอง วิลาวัน ทายาทของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับว่า ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิตให้จำเลย ดำเนินการโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน หากไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม ๗,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นบุตร ส่วนจำเลยเป็นบุตรเขยของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิต กับนางตุ่น ไชยชิต นายสวนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๒๗ โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายสวนตามคำสั่ง ศาลชั้นต้น ลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙
คดีมีปัญหาว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ บังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า จำเลยมิใช่ ผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ฉะนั้น การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙ เพื่อแสดงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองและได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง โจทก์ชอบที่จะดำเนินการ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทตามสิทธิของโจทก์ จะบังคับให้จำเลยซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโอนสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์หาได้ไม่ และแม้โจทก์จะมิได้ ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบ เรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖ และมาตรา ๒๔๗ จึงเห็นสมควรให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยเสีย
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่บังคับให้จำเลยดำเนินการโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙ เล่ม ๔๗ ก. หน้า ๙ เลขที่ดิน ๑๕๗ ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ของจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ .

(สมศักดิ์ เนตรมัย - กนก พรรณรักษา - ปรีดี รุ่งวิสัย )

ศาลจังหวัดขอนแก่น - นายสัมพันธ์ บุนนาค
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายสมพล กาญจนมา

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความเห็นของศาลในการวินิจฉัยชี้ขาดใช่จะถูกต้องเป็นธรรมเสมอไป?

บางกรณีศาลได้วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น และบางกรณีไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งมิใช่การกระทำที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด ให้ดูคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๕๐/๒๕๑๐ และฎีกาที่ ๖๓๖๔/๒๕๔๗


คดีแดงที่  550/2510
นายพุฒ ธรรมเพชร ผู้รับมอบอำนาจจากพระอธิการหมุน ศิริวรรณโน เจ้าอาวาสวัดนาท่อม จ.
นายพร้อม ขุนเจียม ล.


ป.วิ.พ. มาตรา 142
พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 33, 34
ป.พ.พ. มาตรา 1304

ฟ้องโจทก์บรรยายว่าวัดโจทก์มีที่ดินแปลงหนึ่งใช้เป็นป่าช้าสำหรับเผาและฝังศพราษฎร เท่ากับโจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของวัด การที่ศาลไปฟังว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
ที่ดินอันเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้าซึ่งเป็นของวัด แม้จะตั้งอยู่ห่างจากตัววัด ก็จัดเข้าอยู่ในประเภทที่ธรณีสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 33 (2)

…………………..……………………………………………………………..

โจทก์ฟ้องว่า วัดนาท่อมมีที่ดิน ๑ แปลงใช้เป็นป่าช้าฝังและเผาศพของราษฎร จำเลยได้เข้าแผ้วถางทำเป็นนาและไม่ยอมออก ขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นที่ป่าช้าสาธารณะของวัดนาท่อมและให้ขับไล่จำเลยออกไป
จำเลยให้การว่าที่ดินพาท จำเลยได้รับมรดกจากบิดา และได้ครอบครองมาประมาณ ๑๙ ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นป่าช้าของโจทก์ครอบครอง ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้านากวดอันเป็นที่สาธารณะ จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้ไม่ได้ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้านากวด แต่ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดเจนว่าวัดนาท่อมโจทก์มีที่ดินแปลงหนึ่งใช้เป็นป่าช้าสำหรับเผาและฝังศพราษฎรชื่อว่าป่าช้านากวด ก็เมื่อโจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของวัด ศาลกลับไปฟังว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น วัดเป็นนิติบุคคลก็ย่อมเป็นเจ้าของที่ดินได้ และเห็นว่าป่าช้าที่พิพาท จัดอยู่ในประเภทที่กรณีสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๓ อนุมาตรา ๒ ซึ่งแม้จำเลยจะได้ครอบครองมาช้านานเพียงใด จำเลยก็หามีสิทธิในที่พิพาทไม่ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๔
พิพากษายืน.

(ทองคำ จารุเหติ - ยง เหลืองรังษี - นิคม ชัยอาญา )

ศาลจังหวัดพัทลุง - นายเอก ณ นคร
ศาลอุทธรณ์ - นายดวง ดีวาจิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6364/2547
พนักงานอัยการจังหวัดปัตตานี
     โจทก์
นายอุดม บุญวรรณโณ กับพวก
     จำเลย


ป.อ. มาตรา 157
ป.วิ.อ. มาตรา 192
          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยกับพวกโดยอ้างว่าจำเลยกับพวกรู้ว่าที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ได้ร่วมกันรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงในเอกสารการสอบสวนสิทธิอันเป็นความเท็จว่าที่ดินเห็นควรออก น.ส. 3 เพราะไม่มีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าที่ดินมีน้ำทะเลท่วมถึง ราษฎรใช้เพื่อประโยชน์ร่วมกันจับสัตว์น้ำ และยังไม่มีผู้ใดเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์มาก่อน ก็เป็นการยกข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนว่าที่ดินเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าที่ดินเป็นป่าชายเลนและสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษายกฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยต่อไปว่าที่ดินทั้งสามแปลงไม่มีการทำประโยชน์ แต่เพิ่งจะมีการทำประโยชน์ในปี 2519 ฟังว่าที่ดินไม่มีการครอบครองทำประโยชน์มาก่อน การรับรองในแบบการสอบสวนจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง จึงเป็นการพิพากษาลงโทษในข้อเท็จจริงซึ่งมิใช่การกระทำที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด เป็นการมิชอบ

________________________________


          โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายที่ดิน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตร่วมกันบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยจำเลยทั้งสองกับพวกรู้อยู่แล้วว่าที่ดินมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ร่วมกันรับรองเป็นหลักฐาน ซึ่งข้อเท็จจริงในเอกสารสอบสวนสิทธิดังกล่าวมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จ ทั้งนี้เพื่อนำเสนอนายอำเภอหนองจิกว่าเห็นควรออก น.ส.3 ให้ทั้งแปลงได้เพราะไม่มีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จนนายอำเภอหนองจิกหลงเชื่อว่าข้อความในเอกสารนั้นเป็นความจริง จึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามที่จำเลยทั้งสองกับพวกเสนอ การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เป็นเหตุให้กรมที่ดิน ประชาชน และ นายอาลี กับพวกราษฎรซึ่งใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 157, 83
          จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อ. มาตรา 91 จำคุกจำเลยทั้งสองกระทงละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 9 ปี
          จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
          โจทก์ฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อเท็จจริงที่ไม่ได้กล่าวในฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์เน้นหนักเกี่ยวกับสภาพของที่ดินซึ่งเป็น ที่ว่างเปล่า มีน้ำท่วมถึง และประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันในการจับสัตว์น้ำและเลี้ยงสัตว์ ซึ่งโดยสภาพเช่นนี้ย่อมไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ เพราะมีลักษณะเป็นที่สาธารณะ ต้องห้ามมิให้ออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน และยังเป็นการผิดเงื่อนไขตามประกาศกระทรวงมหาดไทยในสิทธิและการทำประโยชน์ในที่ดินเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ จำเลยทั้งสองกับพวกรู้อยู่แล้วว่าที่ดินมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ร่วมกันรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงในเอกสารการสอบสวนสิทธิอันเป็นความเท็จตามที่นายเจริญ นายมนูญ และนายประเสริฐศักดิ์อ้าง เพื่อนำเสนอนายอำเภอหนองจิกว่าเห็นควรออก น.ส.3 ให้เพราะไม่มีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่โจทก์บรรยายฟ้องในตอนต้นถึงหลักเกณฑ์การพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์เพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ว่า บุคคลที่จะขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะต้องเป็นผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์อยู่ก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดแห่งการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองกับพวก ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดแต่ละกรรมว่าความจริงที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวมีน้ำทะเลท่วมถึง ราษฎรใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อประโยชน์ร่วมกันจับสัตว์น้ำ และยังไม่มีผู้ใดเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์มาก่อน ก็เป็นการยกข้อเท็จจริงเพื่อเป็นเหตุผลสนับสนุนว่าที่ดินทั้งสามแปลงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าที่ดินทั้งสามแปลงเป็นป่าชายเลนและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษายกฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยต่อไปว่า ที่ดินทั้งสามแปลงไม่มีการทำประโยชน์ แต่เพิ่งมีการทำประโยชน์ในปี 2519 เพียงบางส่วน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่เกิดเหตุไม่ได้มีการครอบครองทำประโยชน์มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ การรับรองในแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสามแปลงของจำเลยทั้งสองเป็นการละเว้นและปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องมานั้น จึงเป็นการพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อเท็จจริงซึ่งมิใช่การกระทำที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิด ส่วนฎีกาของโจทก์ข้ออื่นไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นฎีกาในข้อไม่เป็นสาระ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว
          พิพากษายืน.
  
( สมศักดิ์ เนตรมัย - สุภิญโญ ชยารักษ์ - ประทีป ปิติสันต์ )

ศาลจังหวัดปัตตานี - นายกิตติกร กิตติพานประยูร
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 - นายขวัญชัย ปิ่นรอด

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เนื้อความใน ส.ค.๑ ระบุข้อความอย่างหนึ่ง จะนำสืบเป็นอย่างอื่นเพื่อให้ตรงกับความเป็นจริงได้หรือไม่?

การที่จะฟังว่าที่ดินที่ได้มีการแจ้งการครอบครองมีความถูกต้องแท้จริงเป็นอย่างไร มิได้มีกฎหมายบังคับว่าจะต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ฉะนั้น จึงนำพยานบุคคลมาสืบได้ ดูฎีกา 708/2509...


คดีแดงที่  708/2509
จังหวัดพังงา และผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา โดยนายชู สุคนธมัต ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดและในฐานะผู้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จ.
นายอาณัติ แสงสวัสดิ์ จ.ล
นายอำเภอตะกั่วทุ่ง โดยนายบุญฤกษ์ ปิยกาญจนะ นายอำเภอตะกั่วทุ่ง ผู้ร้องสอด



พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479
พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 5
ป.วิ.พ.มาตรา 94, 161



การที่จะฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองอยู่ตรงไหน มิได้มีกฎหมายบัญญัติบังคับว่าต้องมีพยานเอกสารมาแสดง กรณีจึงไม่ต้องห้ามในการที่จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองไว้นั้นเป็นที่ดินตรงไหน

เรื่องจะกำหนดให้ฝ่ายใดต้องเสียค่าทนายความให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเท่าใดนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจกำหนดให้เป็นเรื่อง ๆ ไป แล้วแต่รูปคดี มิใช่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์ แล้วศาลจะต้องกำหนดให้จำเลยเสียค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์เสมอไป

ที่ดินรกร้างว่างเปล่า จำเลยเพิ่งเข้าครอบครองภายหลังวันประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการเข้าครอบครองโดยมิชอบ ไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองขึ้นต่อสู้กับรัฐได้

แม้จำเลยจะได้ครอบครองที่รกร้างว่างเปล่าตลอดมา 10 ปีเศษแล้ว แต่เมื่อจำเลยมิได้แจ้งการครอบครองภายในเวลาตามที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ ต้องถือว่าจำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว รัฐมีอำนาจจัดที่ดินนั้นได้.

(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2509 เป็นการประชุมเพื่อหาคณะ)



…………………..……………………………………………………………..



คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้าไปขัดขวางเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว กับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยในที่ดินหรือออกค่าใช้จ่ายในการทำลายให้แก่โจทก์

จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทมิใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นที่ดินคนละแปลงกับที่โจทก์ฟ้อง จำเลยได้รับมรดกที่พิพาทและครอบครองเป็นเจ้าของมากว่า ๑๐ ปีแล้ว โจทก์ฟ้องซ้ำและฟ้องเคลือบคลุม

นายอำเภอตะกั่วทุ่งได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และไม่เป็นฟ้องซ้ำ และที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่นอกจากพื้นที่ภายในเส้นสีม่วงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิครอบครอง ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปขัดขวางเกี่ยวข้อง และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ทำไว้ หรือออกค่าใช้จ่ายในการทำลายให้แก่โจทก์

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ดินภายในเส้นสีม่วงเป็นที่ที่จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์อยู่โดยชอบด้วยกฎหมายก่อนวันใช้พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๔๗๙ ส่วนที่ดินนอกเส้นสีม่วงเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า จำเลยไม่ได้แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ภายในระยะเวลาที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๕ กำหนดไว้ จึงถือว่าจำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดิน รัฐมีอำนาจจัดที่ดินดังกล่าวได้ จำเลยไม่อาจเข้ายึดถือครอบครอง ก่นสร้าง หรือเผาป่า อันเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายที่ดินได้ พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยจะสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขว่าที่พิพาทภายในเส้นสีม่วงเป็นที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองไว้มิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ นั้น การที่จะพิจารณาฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองอยู่ตรงไหนมิได้มีกฎหมายบัญญัติบังคับว่าต้องมีพยานเอกสารมาแสดง กรณีจึงไม่ต้องห้ามในการที่จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองไว้นั้นเป็นที่ดินตรงไหน และฟังว่าที่ที่จำเลยนำสืบเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่พิพาทภายในเส้นสีม่วงนั่นเอง

ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้แก่โจทก์ยังไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่าในเรื่องจะกำหนดให้ฝ่ายใดต้องเสียค่าทนายความให้อีกฝ่ายหนึ่งเท่าใดนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจกำหนดให้เป็นเรื่อง ๆ ไป แล้วแต่รูปคดี มิใช่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าทนายอย่างสูงแก่โจทก์ แล้วศาลจะต้องกำหนดให้จำเลยเสียค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์เสมอไป เท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้นั้นเหมาะสมกับรูปคดีแล้ว

ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ที่จำเลยครอบครองไว้นั้นกินถึงที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาททั้งหมดนั้น เห็นว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินภายในเส้นสีม่วงซึ่งเป็นที่มรดกของจำเลยเท่านั้น ส่วนที่พิพาทภายในเส้นสีแดงเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยเพิ่งเข้าครอบครองภายหลังวันประกาศใช้พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๔๗๙ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ จึงไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองขึ้นต่อสู้กับรัฐได้ หรือถึงจำเลยจะได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมา แต่จำเลยก็มิได้แจ้งการครอบครองภายในกำหนดเวลาตามที่พระราขบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๕ กำหนดไว้ จึงต้องถือว่าจำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว รัฐมีอำนาจจัดที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายที่ดินได้

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์จำเลย.



(มณี ชุติวงศ์, อรรถไพศาลศรุดี, วงษ์ วีระพงศ์ )



ศาลจังหวัดพังงา - นายบัณฑิต พรหมบุญญา

ศาลอุทธรณ์ - นายไฉน บุญยก