ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมื่อผู้มีชื่อใน น.ส.๓ ไม่มีสิทธิครอบครอง เจ้าของที่แท้จริงจะร้องขอให้จดทะเบียนโอนให้ตนได้หรือไม่?

คำตอบคือไม่ได้ เพราะเขาไม่มีสิทธิครอบครองที่จะโอนให้ใครได้ ดูคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๙/๒๕๔๓

คดีแดงที่  69/2543
นางนุ่น ภูถนนนอก ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิต โจทก์
นายจันทา วิลาวัน โดยนายสนอง วิลาวัน ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน จำเลย


ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕), ๒๔๖, ๒๔๗
ป. ที่ดิน มาตรา ๖๑

จำเลยมิใช่ผู้มิสิทธิครอบครองที่พิพาท ฉะนั้น การออก น.ส.๓ ก. เพื่อแสดงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองและ ได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงเป็นการออก น.ส.๓ ก. ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง โจทก์ชอบที่จะดำเนินการออก น.ส.๓ ก. สำหรับที่พิพาทตามสิทธิของโจทก์ จะบังคับให้จำเลยซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโอนสิทธิครอบครอง ให้แก่โจทก์หาได้ไม่ และแม้โจทก์จะมิได้ขอให้เพิกถอน น.ส.๓ ก. ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งเพิกถอน น.ส.๓ ก. ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖ และ ๒๔๗

…………………..……………………………………………………………..

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙ ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น เป็นทรัพย์มรดกของนายสวน ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นชื่อของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินอีกต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จำเลยถึงแก่กรรมโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายสนอง วิลาวัน ทายาทของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับว่า ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิตให้จำเลย ดำเนินการโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน หากไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม ๗,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นบุตร ส่วนจำเลยเป็นบุตรเขยของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิต กับนางตุ่น ไชยชิต นายสวนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๒๗ โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายสวนตามคำสั่ง ศาลชั้นต้น ลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙
คดีมีปัญหาว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ บังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า จำเลยมิใช่ ผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ฉะนั้น การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙ เพื่อแสดงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองและได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง โจทก์ชอบที่จะดำเนินการ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทตามสิทธิของโจทก์ จะบังคับให้จำเลยซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโอนสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์หาได้ไม่ และแม้โจทก์จะมิได้ ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบ เรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖ และมาตรา ๒๔๗ จึงเห็นสมควรให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยเสีย
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่บังคับให้จำเลยดำเนินการโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙ เล่ม ๔๗ ก. หน้า ๙ เลขที่ดิน ๑๕๗ ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ของจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ .

(สมศักดิ์ เนตรมัย - กนก พรรณรักษา - ปรีดี รุ่งวิสัย )

ศาลจังหวัดขอนแก่น - นายสัมพันธ์ บุนนาค
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายสมพล กาญจนมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น