การตีความกฎหมาย
คืออะไร
คือ
การค้นหาความหมายของกฎหมายที่มีถ้อยคำไม่ชัดเจนแน่นอน คือ กำกวม
มีความหมายได้หลายทาง
เพื่อหยั่งทราบว่าถ้อยคำของบทบัญญัติของกฎหมายว่ามีความหมายอย่างไร
องค์กรเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะต้องผูกพันตนอยู่กับกฎหมาย
และในขณะเดียวกันก็เป็นองค์กรที่มี ภาระหน้าที่ในการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ย่อมส่งผลให้องค์กรเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเป็นองค์กรที่จะต้องปรับใช้บทกฎหมายต่าง ๆ
ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในคดีเลขที่
18/2546 ว่า “ หลักทั่วไปมีอยู่ว่า ผู้ใดจะต้องใช้กฎหมาย
ผู้นั้นย่อมมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยบทบัญญัติของกฎหมายนั้น “
การปรับใช้กฎหมายต้องดำเนินไปตามขั้นตอน
4 ขั้นตอน
1.ขั้นตอนในการสืบหาข้อเท็จจริงและสรุปข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติ
2.ขั้นตอนในการตีความองค์ประกอบทางกฎหมาย
3.ขั้นตอนในการปรับข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วเข้ากับองค์ประกอบทางกฎหมาย
4.ขั้นตอนในการยืนยันสรุปผลในทางกฎหมาย
ถามว่าทำไมจึงต้องตีความ
1.ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถรู้ล่วงหน้าที่เกิดขึ้นภายหน้าทุกกรณี
จึงไม่สามารถบัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมทุกกรณีได้
2.ฝ่ายนิติบัญญัติอาจมีความผิดพลาดในการตรากฎหมาย
เช่น บัญญัติกฎหมายเคลือบคลุมหรือขัดแย้งกันเอง เช่นนี้
ในการใช้กฎหมายจึงต้องตีความ
หลักเกณฑ์ในการตีความ
เป็นไปตาม
ป.พ.พ. มาตรา 4
1.หลักการตีความในกฎหมายทั่วไป
ก.การตีความตามตัวอักษร คือ การหยั่งทราบความหมายจากตัวอักษรของกฎหมายนั้นเอง
1.ในกรณีบทกฎหมายใช้ภาษาธรรมดา – มีความหมายอย่างที่เข้าใจกันอยู่ตามธรรมดาของถ้อยคำนั้น
ๆ
ตัวอย่าง 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2508
|
|
พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2477 มาตรา 29, 30, 31, 66,
68 แก้ไขเพ
ป.วิ.อ. มาตรา 192
ฟ้องกล่าวว่า
จำเลยบังอาจขับรถแซงรถเมล์โดยฝ่าฝืนป้ายห้ามแซงของเจ้าพนักงานที่ติดตั้งไว้
เป็นเหตุให้ชนรถเมล์เสียหายและหมุดคอสะพานเสียหาย
ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยขับรถสวนกับรถเมล์เหลืองแล้วเกิดชนกันเสียหาย ดังนี้ เมื่อตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ
ไม่มีบทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า "แซง" ไว้ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ.2493 คำว่า "แซง"
หมายความถึงกิริยาที่แทรกหรือเสียด ซึ่งหมายความว่า เบียดเข้าไป หรือเฉียดไป
เมื่อไม่มีบทกฎหมายบัญญัติความหมายไว้เป็นพิเศษโดยเฉพาะ
ก็ต้องตีความตามความหมายธรรมดาคือหมายถึงกิริยาแทรกหรือเสียดคือเบียดเข้าไปหรือเฉียดไป
ตามฟ้องของโจทก์จึงมีความหมายไปในทางที่ว่า ขับรถเสียดหรือแทรกรถเมล์ได้
ซึ่งอาจจะเป็นไปในทางที่แล่นขึ้นหน้าหรือสวนกัน จะตีความหมายว่า แซง
หมายถึงขับรถขึ้นหน้าแต่อย่างเดียวดังที่จำเลยโต้เถียงขึ้นมาหาได้ไม่และตามฟ้องที่บรรยายมาก็แสดงให้เห็นอยู่ว่า
รถทั้งสองคันมุ่งหน้าไปคนละทางจะสวนกัน
ข้อเท็จจริงในการพิจารณายังเรียกไม่ได้ว่าแตกต่างกับฟ้อง
ตัวอย่างที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2490
|
|
กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 282, 339(2)
กล่าวคำว่า
เขาว่าครูชาติหมาสอนให้เด็กชกต่อยกันดังนี้ไม่เป็นถ้อยคำหมิ่นประมาทตาม มาตรา 282
ถ้อยคำที่กล่าวตามภาษาไทยธรรมดานั้นศาลเป็นผู้พิจารณาความหมายได้เอง
คู่ความไม่ต้องนำสืบแสดงความหมาย
ถ้าในฟ้องไม่ได้แสดงว่า
คำที่จำเลยกล่าวมีความหมายเป็นพิเศษแล้วศาลก็ถือว่าเป็นคำกล่าวตามธรรมดาสามัญ
ตัวอย่างที่ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2509
|
|
พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484
พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 41 บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดนำไม้หรือของป่าผ่านด่านป่าไม้ในระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นเว้นแต่จะได้รับอนุญาตฯลฯแต่พระราชบัญญัติป่าไม้ไม่มีวิเคราะห์ศัพท์คำว่า
'ผ่าน' ก็ต้องตีความหมายธรรมดา
(ตามพจนานุกรมฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน)
หมายถึงกิริยาที่ล่วงพ้นไป ตัดไปลัดไป หรือข้ามไป ฉะนั้นเมื่อคดีได้ความว่าจำเลยเพียงแต่นำไม้เข้ามาในเขตด่านป่าไม้
จะแปลว่าจำเลยได้นำไม้ผ่านด่านป่าไม้ไม่ได้จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 41
ตัวอย่างที่ 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 157/2524
|
|
ป.วิ.พ. มาตรา 55
ผู้ร้องเป็นชายโดยกำเนิด
แม้จะได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงอวัยวะเพศเป็นหญิงแล้วก็ตาม
แต่ก็ไม่มีกฎหมายรับรองให้สิทธิผู้ร้องที่จะขอเปลี่ยนแปลงเพศที่ถือกำเนิดมาได้
ทั้งมิใช่เป็นกรณีที่ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมาย ฉะนั้น
ผู้ร้องจะขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องเปลี่ยนเพศมาเป็นหญิงไม่ได้
________________________________
ผู้ร้องร้องว่า ผู้ร้องเป็นชายโดยกำเนิด
แต่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะเพศเป็นหญิงแล้ว เพียงแต่ไม่สามารถมีบุตรได้เท่านั้น
ผู้ร้องมีความประสงค์จะถือเพศเป็นหญิง
แต่เจ้าพนักงานขัดข้องในการแก้หลักฐานในทะเบียนบ้าน
บัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนทหารนอกจากจะได้รับอนุญาตจากศาลก่อน
จึงขอให้ศาลสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องถือเพศเป็นหญิง
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เพศของบุคคลธรรมดานั้น
กฎหมายรับรองและถือเอาตามเพศที่ถือกำเนิดมา และคำว่า หญิง
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายความถึงคนที่ออกลูกได้
ผู้ร้องถือกำเนิดมาเป็นชาย ถึงหากจะมีเสรีภาพในร่างกายโดยรับการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงอวัยวะเพศเป็นอวัยวะเพศของหญิงแล้วก็ตามแต่ผู้ร้องก็รับอยู่ว่าไม่สามารถมีบุตรได้ฉะนั้น
โดยธรรมชาติและตามที่กฎหมายรับรองผู้ร้องยังคงเป็นเพศชายอยู่
และไม่มีกฎหมายรับรองให้สิทธิผู้ร้องขอเปลี่ยนแปลงเพศที่ถือกำเนิดมาได้
ทั้งมิใช่กรณีที่ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมาย
พิพากษายืน
( ไพศาล
สว่างเนตร - จังหวัด แสงแข - อาจ ปัญญาดิลก )
2.ในกรณีใช้ภาษาเทคนิค หรือ ภาษาวิชาการ- เช่น
ศัพท์ทางเคมี หรือช่างกล
3.
ในกรณีกฎหมายประสงค์ให้ถ้อยคำมีความหมายพิเศษ –กฎหมายจะได้กำหนดบทนิยามไว้
ตัวอย่างที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2513
|
|
ป.รัษฎากร มาตรา 130, 131, 132, 133, 135
การแสดง การเล่น หรือการกีฬา การประกวดหรือการกระทำใด
ๆถ้าเจ้าของจัดขึ้นเพื่อเก็บเงินจากผู้ดู ย่อมเป็นมหรสพตามประมวลรัษฎากรมาตรา 130
คำว่า 'ผู้ดู' ตามมาตรานี้
หมายความถึงบุคคลผู้เข้าดูหรือเข้าฟังหรือเข้ามีส่วนแสดงมหรสพนั้น ๆ เอง
ประเภทใดประเภทหนึ่งก็ได้แล้วแต่ประเภทของมหรสพ 'ค่าดู'
มหรสพไม่ใช่หมายถึงเงินค่าตั๋วแต่อย่างเดียว เงินค่าอย่างอื่น
เช่นเงินค่าเล่น หรือค่าเกมการเล่นโบว์ลิ่งก็เป็นค่าดูตามมาตรานี้ด้วย
การจัดให้มีการเล่นโบว์ลิ่ง โดยเก็บเงินผู้เข้าเล่น
ซึ่งเป็นผู้เข้ามีส่วนแสดงในการเล่น
เป็นการเก็บเงินจากผู้ดูตามกฎหมายแล้วแม้จะไม่เก็บเงินจากผู้เข้าชมหรือดูการเล่นเฉย
ๆ ก็เป็น 'มหรสพ'ตามประมวลรัษฎากร
มาตรา 130 อันจะต้องเสียอากรตามกฎหมาย
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 28/2513)
ตัวอย่างที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
201/2506
คำว่า
'ยา' ตามพระราชบัญญัติการขายยา พ.ศ.2493มาตรา4 นั้น
หาได้อยู่ที่ว่าวัตถุนั้นจะบำบัดรักษาหรือป้องกันโรคได้จริงหรือไม่
แต่อยู่ที่ความมุ่งหมายในการใช้ฉะนั้น กำไลแหวน และสร้อย ซึ่งมุ่งหมายจะใช้เพื่อบำบัดรักษาและป้องกันโรคจึงเป็นยาตามความหมายแห่งกฎหมายดังกล่าวและเมื่อผู้ใดโฆษณาหรือขายวัตถุเหล่านี้โดยมิได้รับอนุญาตก็ย่อมมีความผิด(ประชุมใหญ่
ครั้งที่42/2504)
ข. การตีความตามเจตนารมณ์ – การหยั่งทราบความหมายของถ้อยคำในบทกฎหมายจากเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของบทบัญญัติของกฎหมายนั้น
ๆ
เหตุผลที่มีหลักการตีความตามเจตนารมณ์ก็เนื่องจากหลักที่ว่า
กฎหมายที่ได้บัญญัติขขึ้นนั้น
ก็เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
แล้วพยายามเลือกเฟ้นถ้อยคำมาใช้เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายดังกล่าว
ตัวอย่าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
95/2484
ชายทำสัญญายกทรัพย์ให้ฝ่ายหยิงเพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมเป็นภรรยาโดยฝ่ายหญิงรู้อยู่ว่าจำเลยมีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว
ดังนี้ ถือว่าสัญญานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และกรณีเช่นนี้ฝ่ายหญิงจะฟ้องเรียกค่าสินไหมทางละเมิดไม่ได้
การค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ให้พิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้ประกอบ
1.ชื่อของกฎหมาย
2.คำขึ้นต้นของกฎหมายนั้น
เช่น พระราชปรารภ
3.หมายเหตุท้ายกฎหมาย
4.การพิจารณามาตราต่าง
ๆ ประกอบกัน
5.การพิจารณาสภาพการณ์ที่เป็นไปก่อนหรือหลังออกกฎหมาย
6.รายงานการประชุมในการยกร่าง
หรือพิจารณากฎหมายนั้น
7.การตีความกฎหมายนั้น
จะต้องถือหลักว่าจะต้องตีความให้มีผลบังคับได้
8.บทกฎหมายที่จำกัดตัดสิทธิเสรีภาพต้องตีความโดยเคร่งครัด
โดยสรุป
การตีความกฎหมายเริ่มต้นที่การพิเคราะห์ที่ตัวอักษรของบทบัญญัติกฎหมายนั้นก่อน
เพื่อดูว่าจะปรากฏความหมายมากน้อยเพียงไร หลังจากนั้น
จึงมาค้นหาเหตุผลและความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้นก่อน
เพื่อเป็นตัวกำหนดว่าจะเอาความหมายอย่างกว้างหรือแคบแค่ไหน เพียงไร
แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณีและสังคมส่วนรวม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น