ชาองว่างแห่งกฎหมาย (Gap in the Law) บรรยายเมื่อ 10 กันยายน 2559
ช่องว่างแห่งกฎหมาย –Gap in the law
ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อมาใช้ปรับแก่กรณีไม่พบ
มีคำพูดว่า That
is to say, a court comes to the conclusion that the situation engaged in a case
has no answer from the governing system of law.
The situation
in which existing legal rules lack sufficient ground for providing a conclusive
answer in a legal case.
การปรับใช้กฎหมายต้องดำเนินไปตามขั้นตอน 4 ประการ
1.ขั้นตอนการสืบสวนหาข้อเท็จจริงและการสรุปข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติ
2.
ขั้นตอนในการตีความองค์ประกอบทางกฎหมายอันเป็นองค์ประกอบส่วนเหตุ
และการสรุปความหมายองค์ประกอบส่วนเหตุดังกล่าวว่ามีความหมายอย่างไร
3.
ขั้นตอนในการปรับข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วเข้ากับองค์ประกอบทางกฎหมาย
4.
ขั้นตอนในการยืนยันสรุปผลในทางกฎหมาย
ช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดขึ้นได้อย่างไร?
1. ผู้บัญญัติกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย
2.ผู้บัญญัติกฎหมายคิดถึงช่องว่างแห่งกฎหมายนั้น แต่เห็นว่าสำหรับกรณีที่เป็นช่องว่างนั้นยังไม่สมควรบัญญัติไว้ตายตัว
จะคลี่คลายปัญหาภายหน้าได้ลำบาก
ทราบโดยวิธีใดว่ามีช่องว่าง
1.ตรวจค้นกฎหมายที่มีอยู่
2.ในกรณีบทกฎหมายมีความหมายเป็นสองนัยให้ตีความเสียก่อน
3.เมือทราบว่ากฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายจารีตประเพณีว่าอย่างไร
ก็จะทราบว่ามีช่องว่างหรือไม่
การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายจะทำโดยวิธีใด
.การอุดช่องว่างตาม
ป.พ.พ. มาตรา 4
การอุดช่องว่างตาม
พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย มาตรา 2
การอุดช่องว่างตาม
ป.วิ อาญา มาตรา 15
1. ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยโดยใช้กฎหมายจารีตประเพณี
ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2505
|
|
ป.พ.พ. มาตรา 456
ตกลงซื้อขายผลลำไยในสวนขณะลำไยกำลังออกดอก โดยชำระราคากันบางส่วนแล้วและให้ผู้ซื้อเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาต้นลำไยเองผลได้เสียเป็นของผู้ซื้อถ้าเกิดผลเสียหายอย่างใด
ผู้ขายไม่ต้องคืนเงินถ้าได้ผลมากก็เป็นของผู้ซื้อฝ่ายเดียวเป็นการเสี่ยงโชคโดยคำนวณจากดอกลำไยและสุดแต่ดินฟ้าอากาศจะอำนวยให้ดังนี้
ถือว่าคู่สัญญาได้ตกลงซื้อขายกันแน่นอนแล้ว
โดยคำนวณราคาจากดอกลำไยเป็นหลักต่อมาถ้าต้นลำไยถูกพายุพัดหักหมดผู้ซื้อจะเรียกเงินคืนจากผู้ขายไม่ได้
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาด้วยวาจา จะซื้อผลลำไยจากสวนของจำเลยในราคา 7,600
บาท ได้วางมัดจำไว้ครึ่งหนึ่ง 3,800 บาทราคาที่เหลือจะชำระเมื่อเก็บผลลำไยในฤดูลำไย
และมีข้อตกลงว่า หากลำไยไม่ได้ผล จะต้องคืนเงินมัดจำ ต่อมาได้มีพายุพัดแรงจัด
ทำให้ลำไยสวนนี้หักเสียหายหมด
การชำระหนี้ของจำเลยตกเป็นพ้นวิสัยโจทก์ขอเงินมัดจำคืน จำเลยไม่ยอม จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า การซื้อขายเป็นการตกลงซื้อดอกลำไยบนต้น
และเป็นการซื้อขายเด็ดขาด ไม่มีข้อตกลงว่าจะต้องคืนเงินมัดจำ
ข้อเท็จจริงได้ความตามคำพยานโจทก์ว่า
ฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อเป็นผู้ตอบดูแลต้นลำไยเอง การซื้อขายเป็นการเสี่ยงโชค ถ้าลำไยติดผลมากก็ได้กำไรมาก
ถ้าติดผลน้อยหรือไม่ได้ผลเลย ก็ขาดทุน และในกรณีที่ลำไยไม่ติดผลก็แล้วกันไป
ไม่ต้องคืนเงินมัดจำและได้ความตามที่จำเลยนำสืบว่า
ตามขนบธรรมเนียมประเพณีการซื้อขายลำไย เมื่อลำไยออกดอก
จะมีผู้ซื้อมาดูและตกลงซื้อขายกัน ตามปกติชำระเงินกันครึ่งหนึ่งก่อน
อีกครึ่งหนึ่งชำระเมื่อเก็บผลลำไยแล้ว ถ้าต่อมาลำไยไม่มีผล จะเพราะเหตุใดก็ดี
ผู้ขายไม่ต้องคืนเงินที่ได้รับไว้แล้ว และผู้ซื้อเป็นผู้ไปดูแลต้นลำไย รดน้ำ
ค้ำไม้เอง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า กรณีเป็นสัญญาจะซื้อขาย
พิพากษาให้จำเลยคืนเงินมัดจำ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณีเป็นสัญญาจะซื้อขายจริง
แต่เป็นเรื่องโจทก์สละสิทธิเรียกมัดจำคืนเมื่อลำไยไม่มีผล ต้นลำไยถูกพายุพัดหักตาย
ก็อยู่ในลักษณะเดียวกับลำไยไม่ติดผลตามธรรมชาติ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกมัดจำคืน
พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
"สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยรายนี้เป็นสัญญาที่ผู้ซื้อเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาต้นลำไย
ผลได้เสียเป็นของผู้ซื้อถ้าเกิดผลเสียหายอย่างใดผู้ขายไม่ต้องคืนเงิน
ถ้าได้ผลมากก็เป็นของผู้ซื้อฝ่ายเดียว เป็นการเสี่ยงโชคโดยคำนวณจากดอกลำไย
และสุดแต่ดินฟ้าอากาศจะอำนวยให้เป็นผลสักเพียงใด จึงหาใช่สัญญาจะซื้อขายธรรมดาไม่
แม้จำเลยจะแถลงว่าการซื้อขายรายนี้เป็นการซื้อขายลำไย
แต่เมื่อได้ตกลงกันเช่นนี้ตั้งแต่ยังเป็นดอกลำไยอยู่
ก็ไม่ทำให้พฤติการณ์ดังกล่าวกลายเป็นสัญญาจะซื้อขายผลลำไยในภายหน้าไปโดยเหตุว่าคู่สัญญาตกลงซื้อขายกันแน่นอนแล้ว
โดยคำนวณราคาจากดอกผลลำไยเป็นหลัก ฉะนั้น ต้องถือเอาตามที่คู่สัญญาตกลงกันไว้
โจทก์จะเรียกเงินคืนจากจำเลยไม่ได้" พิพากษายืน
( สารกิจปรีชา
- ไชยเจริญ สันติศิริ - พจน์ ปุษปาคม )
หมายเหตุ
ศ. วิษณุ เครืองาม เห็นว่า สาระสำคัญของสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
ทรัพย์สินที่ขายมีตัวตนอยู่แล้วแน่นอน
และต้องมิใช่ทรัพย์ในอนาคตหรือทรัพย์ที่ผู้ขายยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในขณะทำสัญญา
ดังที่มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2497 วินิจฉัยว่า “ ศาลฎีกาเห็นว่า
ข้อสัญญา...ตามทราปรากฏ มีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายกันเสร็จเด็ดขาดจริง
เพราะวัตถุแห่งสัญญา...เป็นตัวทรัพย์ที่มีอยู่แน่นอน”
ตามคำพิพากษาที่ 9/2505 นี้
ถือว่าคู่สัญญาได้ตกลงซื้อขายกันแน่นอนแล้ว หาใช่สัญญาจะซื้อจะขายไม่
เมื่อได้ตกลงกันเช่นนี้ตั้งแต่ยังเป็นดอกลำไยอยู่ ก็ไม่ทำให้พฤติการณ์ดังกล่าวกลายเป็นสัญญาจะซื้อขายผลลำไยในภายหน้า
อาจมีผู้ฉงนว่า สัญญาซื้อขายผลลำไย (คงมีแต่ดอกลำไย)
จะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ทรัพย์ที่มีตัวตนแล้วได้อย่างไร
ข้อนี้เห็นว่าศาลฎีกาคงอนุมาฯเอาจากเหตุการณ์และข้อตกลงต่อไปนี้นั่นเอง
1.
ธรรมเนียมปฏิบัติหรือประเพณีการซื้อขายผลลำไย ซึ่งจำเลยนำสืบได้ความว่า
ตามปกติแล้ว เมื่อลำไยออกดอกจะมีผู้มาดูแลและตกลงซื้อขายกัน
โดยผู้ซื้อเข้าครอบครองดูแลดุจว่าเป็นเจ้าของสิทธิขาด
แม่ต่อมาลำไยจะไม่มีผลไม่ว่าเพราะเหตุใดผู้ขายจะไม่คืนเงินที่รับไว้แล้ว
ดังนี้แสดงถึงเจตนาของคู่สัญญาว่าประสงค์ให้เสร็จเด็ดขาดกันไปจริง ๆ
2.
แม้จะยังไม่มีผลในขณะทำสัญญา แต่ก็มีดอกลำไยแล้ว
ซึ่งดอกลำไยนั่นเองที่จะกลายเป็นผลลำไยต่อไป
ดังนี้อาจจะอนุโลมได้ว่าเป็นทรัพย์มีตัวตนอยู่แล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
คู่สัญญาเจตนาซื้อขายดอกลำไยนั่นเอง ส่วนที่ว่าดอกลำไยจะกลายเป็นผลลำไยในเวลาต่อมาหรือจะร่วงเสียไม่เป็นผล
ก็ไม่ใช่เงื่อนไขหรือเหตุประวิงการโอนกรรมสิทธิ์
ข้อนี้ต่างกับการซื้อลูกสุนัขในท้องแม่สุนัขหรืออวัยวะส่วนใดของแม่สุนัข
ซึ่งปรากฏให้เห็นชัดอยู่แล้ว
3.ผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันจนเป็นการแน่นอนแล้ว
4.สัญญาซื้อขายนั้นไม่มีเงื่อนไข
เงื่อนเวลา ประวิงการโอนกรรมสิทธิ์
5.แม้ผู้ซื้อจะยังไม่ได้ชำระราคาทรัพย์สิน
หรือชำระแต่ยังไม่ครบถ้วนและแม้ผู้ขายจะยังไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ
ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะในที่สุดก็ต้องมีการปฏิบัติการชำระหนี้อยู่นั่นเอง
ความเห็นอาจารย์ปนัดดา พงศ์สูรย์มาส –
ที่เป็นปัญหาในการซื้อขายผลลำไยก็คือ กรรมสิทธิ์ในลำไยอยู่ที่ใคร เพราะในขณะซื้อ
ซื้อในขณะลำไยเป็นดอก แต่จะเก็บเกี่ยวผลเมื่อลำไยโตเต็มที่
กรณีนี้ไม่อาจปรับเข้ากับตัวบทกฎหมายซื้อขายได้ จึงเป็นช่องว่างทางกฎหมาย
และจำเป็นต้องอุดช่องว่าง โดยพิจารณาจารีตประเพณีมาอุด ซึ่งในเรื่องนี้มีจารีตประเพณีในการซื้อขายลำไย
ศาลจึงใช้จารีตประเพณีมาอุดช่องว่างของกฎหมาย
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับการใช้กฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2643/2515
คำพิพากษาย่อสั้น
คำว่า 'ผลิตภัณฑ์อาหาร' ตามบัญชีที่ 1 หมวด 1 (4)ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร
(ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2509 ไม่มีบทนิยามให้มีความหมายโดยเฉพาะ ย่อมค้นหาความหมายได้โดยเปรียบเทียบจากบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งคือจากบทมาตราอื่นๆ
ของประมวลรัษฎากร
คำว่า 'อาหาร' ในบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร ถ้าใช้เป็นคำกลางๆ หมายถึงอาหารสำหรับคนเท่านั้น หามีความหมายถึงอาหารสัตว์ด้วยไม่ คำว่า 'ผลิตภัณฑ์อาหาร' จึงหมายถึง อาหารคนแต่อย่างเดียว ถ้ากฎหมายประสงค์จะให้หมายถึงอาหารอย่างอื่น ก็จำเป็นจะต้องบัญญัติไว้ให้ชัดเป็นแห่ง ๆ ไป ฉะนั้น อาหารสัตว์จึงไม่อยู่ในความหมายของคำว่า 'ผลิตภัณฑ์อาหาร'
คำว่า 'อาหาร' ในบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร ถ้าใช้เป็นคำกลางๆ หมายถึงอาหารสำหรับคนเท่านั้น หามีความหมายถึงอาหารสัตว์ด้วยไม่ คำว่า 'ผลิตภัณฑ์อาหาร' จึงหมายถึง อาหารคนแต่อย่างเดียว ถ้ากฎหมายประสงค์จะให้หมายถึงอาหารอย่างอื่น ก็จำเป็นจะต้องบัญญัติไว้ให้ชัดเป็นแห่ง ๆ ไป ฉะนั้น อาหารสัตว์จึงไม่อยู่ในความหมายของคำว่า 'ผลิตภัณฑ์อาหาร'
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า
โจทก์ผลิตอาหารสัตว์สำเร็จรูปจำหน่าย ซึ่งต้องเสียภาษีการค้าร้อยละ ๑.๕
แต่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑กลับแจ้งประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าร้อยละ ๕
พร้อมด้วยเงินเพิ่มและภาษีเทศบาล โจทก์อุทธรณ์ จำเลยที่ ๒, ๓, ๔
ซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์เสียภาษีร้อยละ
๕แต่ลดเบี้ยปรับ โจทก์เห็นว่าไม่ชอบ
ขอให้เพิกถอนคำสั่งประเมินเรียกเก็บภาษีและเงินเพิ่มของจำเลยที่ ๑
และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒, ๓, ๔
จำเลยต่อสู้ว่า อาหารสัตว์ที่โจทก์ผลิตจำหน่าย เป็นผลิตผลภายในประเทศทำจากรำ ข้าวโพดป่น ปลาป่น น้ำตาล และวัตถุอื่นผสมกัน บรรจุลงในภาชนะหรือหีบห่อผนึก ตีตราชื่อบริษัทผู้ทำการค้ารวมทั้งเครื่องหมายการค้าที่หีบห่อด้วย จึงเข้าลักษณะผลิตภัณฑ์อาหารต้องเสียภาษีการค้าร้อยละ ๕ ของรายรับ
ชั้นชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับกันว่า ภาษีการค้าที่เรียกเก็บรายนี้ประเมินจากรายรับในการขายผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อาหารดังกล่าวคนใช้บริโภคไม่ได้ ทั้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่บรรจุหีบห่อผนึกสำหรับเพื่อจำหน่าย แล้วต่างไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งประเมินเรียกเก็บภาษีและเงินเพิ่มของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒, ๓, ๔โดยไม่ต้องให้โจทก์ชำระค่าภาษีการค้าและเงินเพิ่ม ๑,๐๖๒,๙๘๕.๙๐ บาทให้จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ปัญหามีว่า คำว่า "ผลิตภัณฑ์อาหาร" มีความหมายเพียงใดโดยเฉพาะอาหารสัตว์จะอยู่ในความหมายของคำว่า "ผลิตภัณฑ์อาหาร"ด้วยหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำว่า "ผลิตภัณฑ์อาหาร" ไม่มีบทนิยามให้มีความหมายโดยเฉพาะจึงต้องค้นหาความหมายโดยเปรียบเทียบจากบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง คือจากบทมาตราอื่น ๆ ของประมวลรัษฎากรนั่นเอง ตามมาตรา ๗๗ มีวิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ภัตตาคาร" หมายความว่า"กิจการขายอาหารหรือเครื่องดื่มไม่ว่าชนิดใด ๆ ในหรือจากสถานที่ซึ่งจัดไว้ให้ประชาชนเข้าไปบริโภคได้" และคำว่า "ไนท์คลับหรือคาบาเรต์"หมายความว่า "กิจการขายอาหารหรือเครื่องดื่มไม่ว่าชนิดใด ๆ ในหรือจากสถานที่ซึ่งจัดให้มีการแสดงดนตรี การลีลาศ หรือการแสดงเพื่อความบันเทิงใด ๆ" บทวิเคราะห์ศัพท์เช่นนี้เห็นได้ชัดว่า อาหารนั้นถ้าใช้เป็นคำกลาง ๆแล้วจะต้องหมายถึงอาหารสำหรับคนเท่านั้น จะให้มีความหมายไปถึงอาหารสำหรับสัตว์ด้วย ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะภัตตาคารก็ดี ไนท์คลับก็ดีย่อมเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า ไม่ใช่ตั้งขึ้นเพื่อขายอาหารสัตว์ อีกประการหนึ่งถ้าดูความในมาตรา ๗๘ ทวิ ที่บัญญัติถึงการประกอบการค้าที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้า เช่น กิจการ ผลิตสินค้า (ข) ถั่วทุกชนิด ไม่ว่ากะเทาะเปลือกหรือทั้งเปลือกบด ทำให้เป็นซีกหรือชิ้น รวมทั้งกากถั่วแต่ไม่รวมถึงแป้งถั่วหรือถั่วที่ผ่านกรรมวิธีเพื่อทำเป็นอาหาร นอกจากอาหารสัตว์ (ค) ข้าวโพด ไม่ว่าเป็นผักหรือเมล็ด อบ บด ทำให้เป็นซีกหรือชิ้น แต่ไม่รวมถึงแป้งข้าวโพดหรือข้าวโพดที่ผ่านกรรมวิธีเพื่อทำเป็นอาหารนอกจากอาหารสัตว์ เฉพาะคำว่า อาหารคำแรกในทั้งสองวรรคต้องตีความว่าหมายถึงอาหารคน ซึ่งเป็นการผลิตอาหารที่ต้องเสียภาษีการค้า ตรงกันข้ามการผลิตอาหารสัตว์จากถั่วหรือข้าวโพดไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามมาตรา ๗๘ ทวิ เมื่อความหมายของคำว่า "อาหาร"ในประมวลรัษฎากรสามารถแยกแยกออกได้เช่นนี้ คำว่า "ผลิตภัณฑ์อาหาร"ก็ต้องหมายถึงอาหารคนแต่อย่างเดียว ถ้ากฎหมายประสงค์ให้หมายถึงอาหารอย่างอื่น ก็จำเป็นจะต้องบัญญัติไว้ให้ชัดเป็นแห่ง ๆ ไป เช่นอาหารสัตว์ตามมาตรา ๗๘ ทวิ เป็นต้น อาหารสัตว์จึงไม่อยู่ในความหมายของคำว่า "ผลิตภัณฑ์อาหาร" ตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ๒๑)พ.ศ. ๒๕๐๙ บัญชีที่ ๑ หมวด ๑ อาหาร ฯลฯ ดังนั้นจำเลยึงไม่มีอำนาจบังคับให้โจทก์เสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ ๕ ของรายรับ เพราะที่โจทก์เสียภาษีไปแล้วในอัตราร้อยละ ๑.๕ ของรายรับ เป็นการถูกต้องแล้ว
พิพากษายืน
จำเลยต่อสู้ว่า อาหารสัตว์ที่โจทก์ผลิตจำหน่าย เป็นผลิตผลภายในประเทศทำจากรำ ข้าวโพดป่น ปลาป่น น้ำตาล และวัตถุอื่นผสมกัน บรรจุลงในภาชนะหรือหีบห่อผนึก ตีตราชื่อบริษัทผู้ทำการค้ารวมทั้งเครื่องหมายการค้าที่หีบห่อด้วย จึงเข้าลักษณะผลิตภัณฑ์อาหารต้องเสียภาษีการค้าร้อยละ ๕ ของรายรับ
ชั้นชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับกันว่า ภาษีการค้าที่เรียกเก็บรายนี้ประเมินจากรายรับในการขายผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อาหารดังกล่าวคนใช้บริโภคไม่ได้ ทั้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่บรรจุหีบห่อผนึกสำหรับเพื่อจำหน่าย แล้วต่างไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งประเมินเรียกเก็บภาษีและเงินเพิ่มของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒, ๓, ๔โดยไม่ต้องให้โจทก์ชำระค่าภาษีการค้าและเงินเพิ่ม ๑,๐๖๒,๙๘๕.๙๐ บาทให้จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ปัญหามีว่า คำว่า "ผลิตภัณฑ์อาหาร" มีความหมายเพียงใดโดยเฉพาะอาหารสัตว์จะอยู่ในความหมายของคำว่า "ผลิตภัณฑ์อาหาร"ด้วยหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำว่า "ผลิตภัณฑ์อาหาร" ไม่มีบทนิยามให้มีความหมายโดยเฉพาะจึงต้องค้นหาความหมายโดยเปรียบเทียบจากบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง คือจากบทมาตราอื่น ๆ ของประมวลรัษฎากรนั่นเอง ตามมาตรา ๗๗ มีวิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ภัตตาคาร" หมายความว่า"กิจการขายอาหารหรือเครื่องดื่มไม่ว่าชนิดใด ๆ ในหรือจากสถานที่ซึ่งจัดไว้ให้ประชาชนเข้าไปบริโภคได้" และคำว่า "ไนท์คลับหรือคาบาเรต์"หมายความว่า "กิจการขายอาหารหรือเครื่องดื่มไม่ว่าชนิดใด ๆ ในหรือจากสถานที่ซึ่งจัดให้มีการแสดงดนตรี การลีลาศ หรือการแสดงเพื่อความบันเทิงใด ๆ" บทวิเคราะห์ศัพท์เช่นนี้เห็นได้ชัดว่า อาหารนั้นถ้าใช้เป็นคำกลาง ๆแล้วจะต้องหมายถึงอาหารสำหรับคนเท่านั้น จะให้มีความหมายไปถึงอาหารสำหรับสัตว์ด้วย ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะภัตตาคารก็ดี ไนท์คลับก็ดีย่อมเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า ไม่ใช่ตั้งขึ้นเพื่อขายอาหารสัตว์ อีกประการหนึ่งถ้าดูความในมาตรา ๗๘ ทวิ ที่บัญญัติถึงการประกอบการค้าที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้า เช่น กิจการ ผลิตสินค้า (ข) ถั่วทุกชนิด ไม่ว่ากะเทาะเปลือกหรือทั้งเปลือกบด ทำให้เป็นซีกหรือชิ้น รวมทั้งกากถั่วแต่ไม่รวมถึงแป้งถั่วหรือถั่วที่ผ่านกรรมวิธีเพื่อทำเป็นอาหาร นอกจากอาหารสัตว์ (ค) ข้าวโพด ไม่ว่าเป็นผักหรือเมล็ด อบ บด ทำให้เป็นซีกหรือชิ้น แต่ไม่รวมถึงแป้งข้าวโพดหรือข้าวโพดที่ผ่านกรรมวิธีเพื่อทำเป็นอาหารนอกจากอาหารสัตว์ เฉพาะคำว่า อาหารคำแรกในทั้งสองวรรคต้องตีความว่าหมายถึงอาหารคน ซึ่งเป็นการผลิตอาหารที่ต้องเสียภาษีการค้า ตรงกันข้ามการผลิตอาหารสัตว์จากถั่วหรือข้าวโพดไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามมาตรา ๗๘ ทวิ เมื่อความหมายของคำว่า "อาหาร"ในประมวลรัษฎากรสามารถแยกแยกออกได้เช่นนี้ คำว่า "ผลิตภัณฑ์อาหาร"ก็ต้องหมายถึงอาหารคนแต่อย่างเดียว ถ้ากฎหมายประสงค์ให้หมายถึงอาหารอย่างอื่น ก็จำเป็นจะต้องบัญญัติไว้ให้ชัดเป็นแห่ง ๆ ไป เช่นอาหารสัตว์ตามมาตรา ๗๘ ทวิ เป็นต้น อาหารสัตว์จึงไม่อยู่ในความหมายของคำว่า "ผลิตภัณฑ์อาหาร" ตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ๒๑)พ.ศ. ๒๕๐๙ บัญชีที่ ๑ หมวด ๑ อาหาร ฯลฯ ดังนั้นจำเลยึงไม่มีอำนาจบังคับให้โจทก์เสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ ๕ ของรายรับ เพราะที่โจทก์เสียภาษีไปแล้วในอัตราร้อยละ ๑.๕ ของรายรับ เป็นการถูกต้องแล้ว
พิพากษายืน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 10
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11
ประมวลรัษฎากร มาตรา 77
ประมวลรัษฎากร มาตรา 78 ทวิ
พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร
(ฉบับที่ 168) พ.ศ.2529 มาตรา 78 ทวิ
พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร
(ฉบับที่ 168) พ.ศ.2529 มาตรา 78 ทวิ
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 563/2532
คำพิพากษาย่อสั้น
มูลคดีตามฟ้องเกิดขึ้นในประเทศไทย
ต้องบังคับกันตามกฎหมายแห่งประเทศไทย
ไม่อาจนำพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางทะเลค.ศ. 1936 ของประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้บังคับเพื่อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609 วรรคสอง บัญญัติว่ารับขนของทางทะเล
ท่านให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการนั้น
แต่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการรับขนของทางทะเลใช้บังคับและไม่ปรากฏว่ามีประเพณีการขนส่งทางทะเลที่ถือปฏิบัติอยู่จึงต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะรับขนในหมวดรับขนของ
อันเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับแก่คดี
การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งได้ออกใบตราส่งกำหนดเงื่อนไขไว้ด้านหลังว่า
จำเลยไม่ต้องรับผิดสำหรับความสูญหายหรือเสียหายของสินค้าเกินไปกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา
4(5) แห่งพระราชบัญญัติรับขนของทางทะเล ค.ศ. 1936 ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ก็เท่ากับเป็นการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 625 แม้จะมีตราประทับชื่อของบริษัทผู้ส่งและมีการลงลายมือชื่อไว้
แต่ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ลงลายมือชื่อเป็นใคร
มีอำนาจกระทำแทนบริษัทผู้ส่งอย่างไรหรือไม่อีกทั้งไม่มีข้อความระบุว่าลงลายมือชื่อเพื่อจุดหมายใด
อาจเป็นการลงลายมือชื่อรับคู่ฉบับหรือสำเนาเอกสารก็ได้ เช่นนี้
ยังถือไม่ได้ว่าผู้ส่งได้แสดงความตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งข้อจำกัดความรับผิดดังกล่าวจึงไม่มีผลใช้ยันผู้ส่ง
และบริษัทผู้รับตราส่งซึ่งได้รับสิทธิมาจากผู้ส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 627 ตลอดจนโจทก์ผู้รับประกันภัยซึ่งรับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งมาอีกทอดหนึ่ง
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ขอให้ศาลพิพากษาและบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในกรณีสินค้าสูญหายระหว่างการขนส่งจำนวน 389,011 บาทและดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่าฟ้องของโจทก์ไม่อยู่ในอำนาจของศาลแพ่งที่จะรับไว้พิจารณา วิธีการขนส่งทางทะเลคดีนี้มิได้เป็นไปตามที่โจทก์กล่าวอ้าง สินค้ามิได้สูญหายไประหว่างเวลาตั้งแต่รับตู้คอนเทนเนอร์ถึงเวลาที่เปิดตู้สำรวจ ผู้ขนส่งไม่ต้องรับผิด ข้อสัญญาและจารีตประเพณีเจ้าของผู้ส่งสินค้าได้ยอมรับรู้โดยชัดแจ้งแล้ว และตามหลักฐานใบตราส่งเจ้าของสินค้าได้ยอมรับรู้ข้อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งไว้โดยชัดแจ้งตามข้อกำหนดข้อ 8, 9(1) ซึ่งออกให้ตามรายการที่เจ้าของสินค้าผู้ส่งแจ้งต่อสายเดินเรือเมอสก์ เมืองนิวยอร์คจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ การขนส่งรายนี้คู่สัญญาเป็นคนต่างสัญชาติกัน โดยผู้ส่งมีสัญชาติแคนาดา และจำเลยมีสัญชาติเดนมาร์ก ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 มาตรา 13 ระบุให้นำกฎหมายแห่งถิ่นที่ทำสัญญามาใช้บังคับแก่สาระสำคัญและผลของสัญญา จึงต้องนำกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางทะเล ค.ศ. 1936 ของประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้บังคับ ซึ่งระบุถึงความรับผิดของผู้ขนส่งในกรณีของสูญหายหรือเสียหายว่า ผู้ขนส่งมีความรับผิดไม่เกิน 500 เหรียญสหรัฐ ต่อ 1 หีบห่อของสินค้า นอกจากนั้นความในข้อ 5 ของใบตราส่งซึ่งเป็นสัญญาในการขนส่งสินค้ารายนี้ก็ได้กำหนดว่า ให้นำกฎหมายว่าด้วยการขนส่งสินค้าทางทะเลของประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้ หากจำเลยจะต้องรับผิดก็ไม่เกิน500 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 10,000 บาท ฉะนั้นโดยข้อกฎหมายและจารีตประเพณีท้องถิ่นของประเทศสหรัฐอเมริกาคู่สัญญาในสัญญาขนส่งจึงต้องผูกพันตามข้อจำกัดความรับผิดดังกล่าวเมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยอาศัยการรับช่วงสิทธิตามสัญญาขนส่งจากบริษัทแองโกล-ไทย เอ็นยิเนียริ่ง จำกัด โจทก์จึงต้องรับข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวด้วย โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องจากจำเลยเกินกว่า 500 เหรียญสหรัฐ ขอให้พิพากษายกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 10,305 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 4,000 เหรียญสหรัฐ โดยคิดเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินในวันที่มีคำพิพากษานี้ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเป็นอันรับฟังได้โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งในชั้นฎีกาว่า บริษัทดัมป์สกิปเซลสกาเบ็ทอาฟ 1912 อักตีเซลสกาป จำกัด และบริษัทอักตีเซลสกาเบ็ท ดัมป์สกิปเซลสกาเบ็ท สเว็นด์บอร์ก จำกัด เป็นนิติบุคคลโดยจดทะเบียนในประเทศเดนมาร์ก บริษัททั้งสองได้ร่วมลงทุนเข้าเป็นหุ้นส่วนกันเพื่อประกอบพาณิชยกิจในการขนส่งทางทะเล มีสำนักงานสาขาอันเป็นภูมิลำเนาอยู่ที่เลขที่ 231/2 ถนนสาธรใต้แขวงยานนาวา เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร และได้จดทะเบียนพาณิชย์ในประเทศไทยใช้ชื่อในการประกอบพาณิชยกิจว่า "สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ" คือจำเลยคดีนี้ เมื่อเดือนตุลาคม 2523บริษัทแองโกล-ไทย เอ็นยิเนียริ่ง จำกัด ได้สั่งซื้อสินค้าตะไบเหล็กจำนวน 206 กล่องจากบริษัทคูเปอร์ทูลกรุ๊ป จำกัดเมืองเวสตัน รัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดาบริษัทคูเปอร์ทูลกรุ๊ป จำกัด ได้ว่าจ้างสายเดินเรือเมอสก์ แห่งประเทศแคนาดาของจำเลยให้เป็นผู้ขนส่งสินค้าดังกล่าว โดยผ่านบริษัทเมอสก์ไลน์เอเจนซี่ จำกัด เมืองโทรอนโต รัฐออนตาริโอประเทศแคนาดา บริษัทซาวิตซ์บราเดอรส์ จำกัด ได้รับมอบหมายให้นำตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งบรรจุสินค้าตะไบเหล็กแล้วไปมอบให้แก่บริษัทมอลเลอร์สติมชิป จำกัด ที่ท่าเรือนิวยอร์คประเทศสหรัฐอเมริกา บริษัทเมอสก์ไลน์เอเจนซี่ จำกัด และบริษัทมอลเลอร์สติมชิป จำกัด เป็นหุ้นส่วนของจำเลยซึ่งทำหน้าที่แทนจำเลยด้วย และเมื่อได้บรรทุกสินค้าดังกล่าวลงเรืออาร์เธอร์เมอสก์ที่ท่าเรือนิวยอร์คแล้ว เรืออาร์เธอร์เมอสก์ได้นำสินค้ามาขนถ่ายลงเรือเมอสก์พินโตที่ประเทศสิงคโปร์และได้ขนส่งมายังท่าเรือกรุงเทพฯ ทั้งนี้บริษัทเมอสก์ไลน์เอเจนซี่ จำกัด ได้ออกใบตราส่งไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.9 ในใบตราส่งเอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.9ระบุถึงสินค้าตะไบเหล็กว่ามีจำนวน 206 กล่อง ต่อมาบริษัทแองโกล-ไทย เอ็นยิเนียริ่ง จำกัด ผู้รับตราส่งได้รับใบตราส่งตามเอกสารหมาย จ.1 ไว้ ส่วนใบตราส่งตามเอกสารหมายล.9 อยู่ที่จำเลยวันที่ 16 ธันวาคม 2523 เมื่อสินค้าตะไบเหล็กมาถึงท่าเรือกรุงเทพแล้ว ได้มีการเปิดตู้คอนเทนเนอร์ตรวจสอบสินค้าปรากฏว่าสินค้าขาดจำนวนไปจากที่ระบุไว้ในใบตราส่ง 8 กล่องคิดเป็นเงิน 389,011 บาทตามเอกสารหมาย ล.8 โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนเงินดังกล่าวให้แก่บริษัทแองโกล-ไทย เอ็นยิเนียริ่ง จำกัด ไปแล้ว
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงใด เห็นว่ามูลคดีตามฟ้องรายนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย ต้องบังคับกันตามกฎหมายแห่งประเทศไทย หามีปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายแห่งประเทศอื่นใดมาบังคับไม่ จึงไม่อาจนำพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางทะเล ค.ศ. 1936 ของประเทศสหรัฐอเมริกา มาใช้บังคับเพื่อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งดังฎีกาของจำเลย ในกรณีนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609วรรคสอง บัญญัติว่ารับขนของทางทะเล ท่านให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการนั้น แต่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางทะเลใช้บังคับและไม่ปรากฏว่ามีประเพณีการขนส่งทางทะเลที่ถือปฏิบัติกันอยู่ จึงต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะรับขนในหมวดรับขนของอันเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับแก่คดีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 625 บัญญัติว่า "ใบรับ ใบตราส่งหรือเอกสารอื่น ๆ ทำนองนั้นก็ดี ซึ่งผู้ขนส่งออกให้แก่ผู้ส่งนั้นถ้ามีข้อความยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของผู้รับขนส่งประการใดท่านว่าความนั้นเป็นโมฆะ เว้นแต่ผู้ส่งจะได้แสดงความตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดเช่นว่านั้น"นายโรแนล เจ.คริสตอล พยานจำเลยเบิกความว่า ใบตราส่งตามเอกสารหมาย จ.1 ที่ด้านหลังไม่มีลายมือชื่อของผู้ส่งสินค้า ดังนั้นการที่จำเลยได้ออกใบตราส่งเอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.9 กำหนดเงื่อนไขไว้ด้านหลังว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดสำหรับความสูญหายหรือเสียหายของสินค้าเกินไปกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4(5) แห่งพระราชบัญญัติรับขนของทางทะเล ค.ศ. 1936 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ก็คือการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 625นั่นเอง เมื่อข้อความที่กล่าวนี้ระบุไว้ด้านหลังใบตราส่งเอกสารหมายล.9 ซึ่งมีตราประทับว่า THE COOPER TOOL GROUP LIMITED PERและลายมือชื่อโดยไม่ปรากฏว่าผู้ลงลายมือชื่อเป็นใคร มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทคูเปอร์ทูลกรุ๊ป จำกัด อย่างไรหรือไม่อีกทั้งไม่มีข้อความระบุว่าลงลายมือชื่อเพื่อจุดมุ่งหมายใด อาจเป็นการลงลายมือชื่อรับคู่ฉบับหรือสำเนาของเอกสารหมาย ล.9 ก็ได้ ดังจะเห็นได้ว่าฝ่ายโจทก์ก็มีเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีข้อความตรงกับเอกสารหมาย ล.9 แต่หาได้มีลายมือชื่อของผู้ส่งสินค้าไว้ด้านหลังด้วยไม่ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ส่งได้แสดงความตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่ง ข้อความจำกัดความรับผิดดังกล่าวไม่มีผลใช้ยันผู้ส่งได้ และไม่อาจใช้ยันบริษัทแองโกล-ไทย เอ็นยิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งได้รับสิทธิมาจากผู้ส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 ตลอดจนโจทก์ผู้รับประกันภัยซึ่งรับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งมาอีกทอดหนึ่ง โจทก์จึงหาผูกพันให้ต้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้เพียง 500 เหรียญสหรัฐไม่ เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 389,011บาท ให้แก่บริษัทแองโกล-ไทย เอ็นยิเนียริ่ง จำกัด เพื่อความสูญหายของสินค้าตะไบเหล็กจำนวน 8 กล่องไปแล้ว ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิดังกล่าวในอันที่จะเรียกร้องเอาจากจำเลยผู้ขนส่งได้เต็มจำนวนจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 389,011 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน389,011 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 625
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยโดยใช้หลักกฎหมายทั่วไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 999/2496
คำพิพากษาย่อสั้น
กฎหมายทะเลของประเทศไทยในขณะนี้ยังไม่มี
ทั้งจารีตประเพณีก็ไม่ปรากฎ เมื่อเกิดมีคดีขึ้น จึงควรเทียบวินิจฉัย
ตามหลักกฎหมายทั่วไป.
สัญญาประกันภัยทางทะเลทำขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ จึงควรยึดกฎหมายว่าด้วยการประกันภัยทางทะเลของประเทศ อังกฤษเป็นกฎหมายทั่วไปเพื่อเทียบเคียงวินิจฉีย.
คำว่า "อันตรายทางทะเล" หรือ "ภยันตรายแห่งทะเล" ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า "Peril of the sea" นั้น ย่อมหมาย ถึงภยันตรายใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นวิสัยที่ท้องทะเลจะบันดาลได้หาจำจะต้องคำนึงถึงว่า ขณะนั้นทะเลเรียบร้อยอยู่ หรือทะเลเป็นบ้าอย่างใดไม่ การที่เรือเกิดรั่วต้องอับปางลงในระหว่างเดินทางในทะเลโดยไม่ใช่ความผิดของใคร ย่อมเป็นอันตรายที่เรือนั้นจะต้องประสพโดยวิสัยในการเดินทางผ่านทะลอยู่แล้ว เป็นอันตรายทางทะเลตามความ หมายแห่งการประกันภัยทางทะเลแล้ว ตามที่ศาลอังกฤษถือตามกันมาก็ถืออันตรายที่เกิดขึ้นโดยโชคกรรมจากทะเล หรือเนื่องจากทะเล.
โจทก์ได้ประกันภัยปูนซิเมนต์จำนวนหนึ่ง บรรทุกเรือยนต์ตรังกานูไปจังหวัดสงขลา ไว้กับจำเลย หรือตรังกานูออก จากท่ากรุงเทฯ จะไปจังหวัดสงขลา พ้นสันดอนปากน้ำเจ้าพระยาไปแล้วประมาณ 10 ไมล์เศษเกิดมีคลื่นลมจัด เรือ โคลงมาก และน้ำเข้าเรือมาก ถ้าไม่กลับเรือจะจม เรือตรังกานูจึงได้แล่นกลับ พยายามแก้ไขและวิดน้ำก็ไม่ดีขึ้น ใน ที่สุดน้ำท่วมเครื่องดับนายเรือให้สัญญาณบอกเหตุเรืออับปาง มีเรือยนต์อื่นมาช่วยถ่ายคนและลากเรือตรังกานูมา ปล่อยไว้ที่กลางน้ำหน้าที่ทำการไปรษณีย์ปากน้ำ,แล้วได้จ้างเรือเล็กลากเข้าฝั่งเกยตื้นจมอยู่ที่ฝั่ง ป้อมผีเสื้อสมุทร ปูน ซิเมนต์ถูกน้ำท่วมเสียหายสิ้นเชิง ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นความเสียหายที่เนื่องจากเรือได้สูญเสียสิ้นเชิงเนื่องจากอัน ตรายทางทะเล แล้วบริษัทผู้รับประกันต้องรับผิด ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก./
สัญญาประกันภัยทางทะเลทำขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ จึงควรยึดกฎหมายว่าด้วยการประกันภัยทางทะเลของประเทศ อังกฤษเป็นกฎหมายทั่วไปเพื่อเทียบเคียงวินิจฉีย.
คำว่า "อันตรายทางทะเล" หรือ "ภยันตรายแห่งทะเล" ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า "Peril of the sea" นั้น ย่อมหมาย ถึงภยันตรายใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นวิสัยที่ท้องทะเลจะบันดาลได้หาจำจะต้องคำนึงถึงว่า ขณะนั้นทะเลเรียบร้อยอยู่ หรือทะเลเป็นบ้าอย่างใดไม่ การที่เรือเกิดรั่วต้องอับปางลงในระหว่างเดินทางในทะเลโดยไม่ใช่ความผิดของใคร ย่อมเป็นอันตรายที่เรือนั้นจะต้องประสพโดยวิสัยในการเดินทางผ่านทะลอยู่แล้ว เป็นอันตรายทางทะเลตามความ หมายแห่งการประกันภัยทางทะเลแล้ว ตามที่ศาลอังกฤษถือตามกันมาก็ถืออันตรายที่เกิดขึ้นโดยโชคกรรมจากทะเล หรือเนื่องจากทะเล.
โจทก์ได้ประกันภัยปูนซิเมนต์จำนวนหนึ่ง บรรทุกเรือยนต์ตรังกานูไปจังหวัดสงขลา ไว้กับจำเลย หรือตรังกานูออก จากท่ากรุงเทฯ จะไปจังหวัดสงขลา พ้นสันดอนปากน้ำเจ้าพระยาไปแล้วประมาณ 10 ไมล์เศษเกิดมีคลื่นลมจัด เรือ โคลงมาก และน้ำเข้าเรือมาก ถ้าไม่กลับเรือจะจม เรือตรังกานูจึงได้แล่นกลับ พยายามแก้ไขและวิดน้ำก็ไม่ดีขึ้น ใน ที่สุดน้ำท่วมเครื่องดับนายเรือให้สัญญาณบอกเหตุเรืออับปาง มีเรือยนต์อื่นมาช่วยถ่ายคนและลากเรือตรังกานูมา ปล่อยไว้ที่กลางน้ำหน้าที่ทำการไปรษณีย์ปากน้ำ,แล้วได้จ้างเรือเล็กลากเข้าฝั่งเกยตื้นจมอยู่ที่ฝั่ง ป้อมผีเสื้อสมุทร ปูน ซิเมนต์ถูกน้ำท่วมเสียหายสิ้นเชิง ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นความเสียหายที่เนื่องจากเรือได้สูญเสียสิ้นเชิงเนื่องจากอัน ตรายทางทะเล แล้วบริษัทผู้รับประกันต้องรับผิด ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก./
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า
ได้ประกันภัยปูนซิเมนต์ของบริษัทจำนวน ๑๕๐๐ ถุง บรรทุกในเรือนยนต์
"ตรังกานู" จากจังหวัดพระนคร ไปยังจังหวัดสงขลาเป็นจำนวนเงิน ๔๕,๐๐๐ บาท บัดนี้
เรือยนต์ตรังกานูได้อับปางลงในอ่าวไทยได้ออับปางลงในอ่าวไทย
ตอนแหลมปลายสพานป้อมผีเสื้อสมุทร น้ำท่วมเต็มล้นปากระวางเรือ สินค้าและสิ่งของต่าง
ๆ ที่บรรทุกในเรือ เสียหาย หมดสิ้น เป็นการสูญเสียทั้งลำเรือ
เป็นเหตุให้บริษัทโจทก์เสียหายปูนซิเมนต์ ๑๕๐๐ ถุง จำเลยกลับบิดพลิ้วไม่ใช้ค่าเสีย
หายตามจำเนวนในกรมธรรม์ จึงขอให้ศาลบังคับ.
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยรับประกันภัยปูนซิเมนต์ของโจทก์ที่บรรทุกในเรือตรังกานู ต่อเมื่อเรือได้สูญเสียสิ้นเชิงเนื่องจาก อันตรายทางทะเล โดยเฉพาะเท่านั้น เรือง "ตรังกานู" ไม่ได้รับอันตรายและที่เนื่องจากอันตรายทางทะเล เรือไม่ได้สูญ เสียสิ้นเชิง ตามสัญญาประกันภัยจำเลยไม่ได้รับประกันภัยอันตรายที่เกิดจากเหตุอื่นนอกเหนือไปจากที่เรือได้สูญเสีย โดยสิ้นเชิง เนื่องจากอันตรายทางทะเล
ศาลแพ่งพิจารณาแล้ว ฟังว่าปูนซิเมนต์ที่โจทก์เอาประกันภัยไว้กับบริษัทจำเลย ได้รับความเสียหาย (ซึ่งโจทก์จำเลย แถลงรับกันแล้วว่า เปียกน้ำเสียทั้งหมด) เพราะเรือสูญเสียสิ้นเชิงเนื่องจากอันตรายทางทะเล ซึ่งบริษัทจำเลยต้องรับ ผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์,
ศาลอุทธรณ์เห็ฯว่า เหตุที่เกิดแก่เรือตรังกานูครั้งนี้ มิใช่เพราะภัยทางทะเล หากแต่เป็นเหตุที่เกิดขึ้นเพราะความชำรุด ทรุดโทรมตามธรรมดา ทำให้เรือรั่วน้ำไหลเข้าเรือแล่นต่อไปไม่ได้ เป็นการเรียกได้ว่าเรือรั่วตามธรรมดา (Ordimary
leakage) ไม่ใช่เกิดจากภัยทะเลตามข้อความในกรมธรรม์บริษัทจำเลยไม่มีความรับผิดตามกรมธรรม์ในความเสียหาย ครั้งนี้ต่อบริษัทโจทก์ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง.
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เรือตรังกานูได้บรรทุกปูนซิเมนต์ของโจทก์ที่เอาประกันวินาศภัยไว้กับ จำเลย ออกจากท่ากรุงเทพฯ จะไปจังหวัดสงขลา พ้นสันดอนปากน้ำเจ้าพระยาไปแล้วประมาณ ๑๐ ไมล์เศษ เกิดมีคลื่น ลมจัด พัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้เรือโคลงมาก และน้ำเข้าเรือมาก ถ้าไม่กลับเรือจะจม เรืองตรังกานูจึงได้แล่นกลับ พยายามแก้ไขและวิดน้ำ ก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุดน้ำท่วมเครื่องดับ นายเรือให้สัญญาณบอกเหตุเรืออับปาง มีเรืออารมย์สินมา ช่วยถ่ายคน และเรือวิกตอรี่ช่วยลากเรือตรังกานูมาปบ่อยไว้ที่กลางน้ำหน้าที่ทำการไปรษณีย์ปากน้ำ แล้วได้จ้างเรือเล็ก ลากเข้าฝั่งเกยตื้นจมอยู่ที่ฝั่งป้อมผีเสื้อสมุทร ปูนซิเมนต์ถูกน้ำท่วมเสียหายโดยสิ้นเชิง.
ได้ความว่าเหตุที่น้ำเข้าเรือนั้นเป็นเพราะแนวเรือแตก หมันของเรือหลุดทำให้ไม้คิ้วเรือแยกออกจากทวนหัวเรือ ตาม ความสันนิษฐานของนายช่างตรวจเรือ หัวเรือแยกเกิดจาก+ วิ่งฟันคลื่นก็ได้ หรืออาจเป็นเพราะเรือไปกระแทกของแข็ง อื่น ก็ได้.
การที่เรือตรังกานูต้องจมลง แม้จะได้จ้างเรือเล็กจูงเข้าไปเกยตื้นไว้ แต่ก็ปรากฎว่าน้ำท่วมเต็มล้นปากระวางเรือสินค้า และสิ่งของต่าง ๆ ที่บรรทุกอยู่ในลำเรือเสียหายหมดสิ้น อาการเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นการอับปางเรือตรังกานูสิ้นสภาพ ที่จะเป็ฯเรือลอยลำอยู่ได้อีกแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นอาการที่ " เรือได้สูญเสียสิ้นเชิง" ตามความหมายของสัญญาประกัน วินาศภัยที่ได้ตกลงกันไว้นั้นแล้ว การสูญเสียสิ้นเชิงหาจำจะต้องเป็นการเรือแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือกลายเป็น อากาศธาตุไปทั้งหมดตามคำโต้แย้งของจำเลยไม่.
จำเลยโต้แย้งว่า คำว่าา "อันตรายทางทะเล" ตามกรมธรรม์ประกันภัยนั้น หมายความแต่ว่าเป็นอันตรายซึ่งเกิดจากคลื่น ลมพายุที่มีมาอย่างหนักผิดปกติ ฯลฯ
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คำว่า "อันตรายทางทะเล" หรือ "ภยันตรายแห่งทะเล" ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษที่ใช้ใน กรมธรรม์ประกันภัยว่า " Peril of the sea " นั้น ก็ย่อมหมายถึงภยันตรายใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นวิสัยที่ท้องทะเลจะบันดาล ได้ หาจำต้องคำนึงว่า ขณะนั้นทะเลยเรียบอยู่หรือทะเลยเป็นบ้าอย่างใดไม่ การที่เรือเกิดรั่วต้องอับปางลงระหว่างเดิน ทางในทะเลยโดยไม่ใช่ความผิดของใครเช่นนี้ ย่อมเป็นอันตรายที่เรือนั้นจะต้องประสพโดยวิสัยในการเดินทางผ่าน ทะเลอยู่แล้วเป็นอันตรายทางทะเลตามความหมายของกรมธรรม์ประกันภัยอันพึงอนุมานได้อยู่แล้ว
จริงอยู่ ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๘๖๘ บัญญัติไว้ว่า "อันสัญญาประกันภัยทะเล ท่านให้ใช้บังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ทะเล" ซึ่งกฎหมายทะเลของประเทศไทยยังหามีไม่ ทั้งจารีตประเพณีก็ไม่ปรากฎ ควรเทียบวินิจฉัยคดีนี้ตามหลักกฎ หมายทั่วไปตามมาตรา ๔ แห่ง ป.ม.แพ่งฯ สัญญาประกันภัยรายนี้ ทำขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ศาลฎีกาเห็นว่าควรถือกฏ ่หมายว่าด้วยการประกันภัยทางทะเลของแระเทศอังกฤษเป็นกฎหมายทั่วไป เพื่อเทียบเคียงวินิจฉัยด้วย แต่อย่างไรก็ดี แม้ตามมารีนอินชัวรันช์แอคท์ ค.ศ. ๑๙๐๖ (+) มาตรา ๖๐ จะได้ให้คำจำกัดความในเรื่องสูญเสียสิ้นเชิง (Total loss) ไว้ ให้มีความสูญเสียสิ้นเชิงโดยสันนิษฐาน ( Eonstructive total loss) ได้ด้วย ก็ดี แต่ความในที่นั้นสำหรับที่จะใช้กับเรือ หมายถึงแต่เฉพาะในกรณีที่เรือเป็นวัตถุที่เอาประกันภัยเท่านั้น ในคดีนี้สินค้าปูนซิเมนต์ต่างหากเป็นวัตถุที่เอาประกัน ภัยและก็ได้สูญเสียสิ้นเชิงไปโดยจริงจังแล้ว เพราะเหตุที่เรือบรรทุกหมดสภาพเป็นเรือที่ลอยลำได้ต่อ ในกรณีที่ประกัน สินค้าบรรทุกเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าเรือได้สูญเสียโดยสิ้นเชิงแล้ว
ข้อที่จะต้องเทียบเคียงจึงอยู่ที่ว่า "อันตรายทางทะเล" หรือ "ภยันตรายแห่งทะเล" กล่าวคือว่าสินค้าปูนซิเมนต์นั้นได้สูญ เสียสิ้นเชิงไปโดยภยันตรายแห่งทะเลหรือไม่ มารีนอินชัวรันซ์แอคท์ ค.ศ.๑๙๐๖ มาตรา ๕๕ ก็เพียงแต่กล่าวว่า ผู้รับประ กันภัยจะต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันเกิดขึ้นโดยใกล้ชิดกับอันตรายที่เอาประกันไว้ คำว่า Perils of the sea ตามที่ ศาลอังกฤษถือตามกันมา ก็ถืออันตรายที่เกิดขึ้นโดยโชคกรรมจากทะเลหรือเนื่องจากทะเล.
ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เหตุที่เกิดเป็นเหตุเพราะความชำรุดทรุดโทรมธรรมดา บริษัทจำเลยไม่ต้องรับผิดนั้น ศาลฎีกา เห็นว่า ศาลอุทธรณ์เอาความเสียหายหรือความวินาศของเรือกับความวินาศของปูนซิเมนต์ อันเป็นวัตถุที่เอาประกันภัย ไปปะปนกัน ในเรื่องนี้ วัตถุที่เอาประกันภัยคือปูนซิเมนต์ อันเป็นสินค้าบรรทุก ก็จำจะต้องวินิจฉัยว่าความวินาศนั้นได้ เกิดจากความไม่สมประกอบในเนื้อแห่งวัตถุของสินค้านั้นหรือไม่ จะไปยกเอาความไม่สมประกับของเรือมาวินิจฉัยให้ ไม่ต้องรับผิดในความวินาศของสินค้าบรรทุกนั้น หาได้ไม่.
จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น . ฯลฯ
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยรับประกันภัยปูนซิเมนต์ของโจทก์ที่บรรทุกในเรือตรังกานู ต่อเมื่อเรือได้สูญเสียสิ้นเชิงเนื่องจาก อันตรายทางทะเล โดยเฉพาะเท่านั้น เรือง "ตรังกานู" ไม่ได้รับอันตรายและที่เนื่องจากอันตรายทางทะเล เรือไม่ได้สูญ เสียสิ้นเชิง ตามสัญญาประกันภัยจำเลยไม่ได้รับประกันภัยอันตรายที่เกิดจากเหตุอื่นนอกเหนือไปจากที่เรือได้สูญเสีย โดยสิ้นเชิง เนื่องจากอันตรายทางทะเล
ศาลแพ่งพิจารณาแล้ว ฟังว่าปูนซิเมนต์ที่โจทก์เอาประกันภัยไว้กับบริษัทจำเลย ได้รับความเสียหาย (ซึ่งโจทก์จำเลย แถลงรับกันแล้วว่า เปียกน้ำเสียทั้งหมด) เพราะเรือสูญเสียสิ้นเชิงเนื่องจากอันตรายทางทะเล ซึ่งบริษัทจำเลยต้องรับ ผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์,
ศาลอุทธรณ์เห็ฯว่า เหตุที่เกิดแก่เรือตรังกานูครั้งนี้ มิใช่เพราะภัยทางทะเล หากแต่เป็นเหตุที่เกิดขึ้นเพราะความชำรุด ทรุดโทรมตามธรรมดา ทำให้เรือรั่วน้ำไหลเข้าเรือแล่นต่อไปไม่ได้ เป็นการเรียกได้ว่าเรือรั่วตามธรรมดา (Ordimary
leakage) ไม่ใช่เกิดจากภัยทะเลตามข้อความในกรมธรรม์บริษัทจำเลยไม่มีความรับผิดตามกรมธรรม์ในความเสียหาย ครั้งนี้ต่อบริษัทโจทก์ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง.
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เรือตรังกานูได้บรรทุกปูนซิเมนต์ของโจทก์ที่เอาประกันวินาศภัยไว้กับ จำเลย ออกจากท่ากรุงเทพฯ จะไปจังหวัดสงขลา พ้นสันดอนปากน้ำเจ้าพระยาไปแล้วประมาณ ๑๐ ไมล์เศษ เกิดมีคลื่น ลมจัด พัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้เรือโคลงมาก และน้ำเข้าเรือมาก ถ้าไม่กลับเรือจะจม เรืองตรังกานูจึงได้แล่นกลับ พยายามแก้ไขและวิดน้ำ ก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุดน้ำท่วมเครื่องดับ นายเรือให้สัญญาณบอกเหตุเรืออับปาง มีเรืออารมย์สินมา ช่วยถ่ายคน และเรือวิกตอรี่ช่วยลากเรือตรังกานูมาปบ่อยไว้ที่กลางน้ำหน้าที่ทำการไปรษณีย์ปากน้ำ แล้วได้จ้างเรือเล็ก ลากเข้าฝั่งเกยตื้นจมอยู่ที่ฝั่งป้อมผีเสื้อสมุทร ปูนซิเมนต์ถูกน้ำท่วมเสียหายโดยสิ้นเชิง.
ได้ความว่าเหตุที่น้ำเข้าเรือนั้นเป็นเพราะแนวเรือแตก หมันของเรือหลุดทำให้ไม้คิ้วเรือแยกออกจากทวนหัวเรือ ตาม ความสันนิษฐานของนายช่างตรวจเรือ หัวเรือแยกเกิดจาก+ วิ่งฟันคลื่นก็ได้ หรืออาจเป็นเพราะเรือไปกระแทกของแข็ง อื่น ก็ได้.
การที่เรือตรังกานูต้องจมลง แม้จะได้จ้างเรือเล็กจูงเข้าไปเกยตื้นไว้ แต่ก็ปรากฎว่าน้ำท่วมเต็มล้นปากระวางเรือสินค้า และสิ่งของต่าง ๆ ที่บรรทุกอยู่ในลำเรือเสียหายหมดสิ้น อาการเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นการอับปางเรือตรังกานูสิ้นสภาพ ที่จะเป็ฯเรือลอยลำอยู่ได้อีกแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นอาการที่ " เรือได้สูญเสียสิ้นเชิง" ตามความหมายของสัญญาประกัน วินาศภัยที่ได้ตกลงกันไว้นั้นแล้ว การสูญเสียสิ้นเชิงหาจำจะต้องเป็นการเรือแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือกลายเป็น อากาศธาตุไปทั้งหมดตามคำโต้แย้งของจำเลยไม่.
จำเลยโต้แย้งว่า คำว่าา "อันตรายทางทะเล" ตามกรมธรรม์ประกันภัยนั้น หมายความแต่ว่าเป็นอันตรายซึ่งเกิดจากคลื่น ลมพายุที่มีมาอย่างหนักผิดปกติ ฯลฯ
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คำว่า "อันตรายทางทะเล" หรือ "ภยันตรายแห่งทะเล" ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษที่ใช้ใน กรมธรรม์ประกันภัยว่า " Peril of the sea " นั้น ก็ย่อมหมายถึงภยันตรายใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นวิสัยที่ท้องทะเลจะบันดาล ได้ หาจำต้องคำนึงว่า ขณะนั้นทะเลยเรียบอยู่หรือทะเลยเป็นบ้าอย่างใดไม่ การที่เรือเกิดรั่วต้องอับปางลงระหว่างเดิน ทางในทะเลยโดยไม่ใช่ความผิดของใครเช่นนี้ ย่อมเป็นอันตรายที่เรือนั้นจะต้องประสพโดยวิสัยในการเดินทางผ่าน ทะเลอยู่แล้วเป็นอันตรายทางทะเลตามความหมายของกรมธรรม์ประกันภัยอันพึงอนุมานได้อยู่แล้ว
จริงอยู่ ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๘๖๘ บัญญัติไว้ว่า "อันสัญญาประกันภัยทะเล ท่านให้ใช้บังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ทะเล" ซึ่งกฎหมายทะเลของประเทศไทยยังหามีไม่ ทั้งจารีตประเพณีก็ไม่ปรากฎ ควรเทียบวินิจฉัยคดีนี้ตามหลักกฎ หมายทั่วไปตามมาตรา ๔ แห่ง ป.ม.แพ่งฯ สัญญาประกันภัยรายนี้ ทำขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ศาลฎีกาเห็นว่าควรถือกฏ ่หมายว่าด้วยการประกันภัยทางทะเลของแระเทศอังกฤษเป็นกฎหมายทั่วไป เพื่อเทียบเคียงวินิจฉัยด้วย แต่อย่างไรก็ดี แม้ตามมารีนอินชัวรันช์แอคท์ ค.ศ. ๑๙๐๖ (+) มาตรา ๖๐ จะได้ให้คำจำกัดความในเรื่องสูญเสียสิ้นเชิง (Total loss) ไว้ ให้มีความสูญเสียสิ้นเชิงโดยสันนิษฐาน ( Eonstructive total loss) ได้ด้วย ก็ดี แต่ความในที่นั้นสำหรับที่จะใช้กับเรือ หมายถึงแต่เฉพาะในกรณีที่เรือเป็นวัตถุที่เอาประกันภัยเท่านั้น ในคดีนี้สินค้าปูนซิเมนต์ต่างหากเป็นวัตถุที่เอาประกัน ภัยและก็ได้สูญเสียสิ้นเชิงไปโดยจริงจังแล้ว เพราะเหตุที่เรือบรรทุกหมดสภาพเป็นเรือที่ลอยลำได้ต่อ ในกรณีที่ประกัน สินค้าบรรทุกเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าเรือได้สูญเสียโดยสิ้นเชิงแล้ว
ข้อที่จะต้องเทียบเคียงจึงอยู่ที่ว่า "อันตรายทางทะเล" หรือ "ภยันตรายแห่งทะเล" กล่าวคือว่าสินค้าปูนซิเมนต์นั้นได้สูญ เสียสิ้นเชิงไปโดยภยันตรายแห่งทะเลหรือไม่ มารีนอินชัวรันซ์แอคท์ ค.ศ.๑๙๐๖ มาตรา ๕๕ ก็เพียงแต่กล่าวว่า ผู้รับประ กันภัยจะต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันเกิดขึ้นโดยใกล้ชิดกับอันตรายที่เอาประกันไว้ คำว่า Perils of the sea ตามที่ ศาลอังกฤษถือตามกันมา ก็ถืออันตรายที่เกิดขึ้นโดยโชคกรรมจากทะเลหรือเนื่องจากทะเล.
ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เหตุที่เกิดเป็นเหตุเพราะความชำรุดทรุดโทรมธรรมดา บริษัทจำเลยไม่ต้องรับผิดนั้น ศาลฎีกา เห็นว่า ศาลอุทธรณ์เอาความเสียหายหรือความวินาศของเรือกับความวินาศของปูนซิเมนต์ อันเป็นวัตถุที่เอาประกันภัย ไปปะปนกัน ในเรื่องนี้ วัตถุที่เอาประกันภัยคือปูนซิเมนต์ อันเป็นสินค้าบรรทุก ก็จำจะต้องวินิจฉัยว่าความวินาศนั้นได้ เกิดจากความไม่สมประกอบในเนื้อแห่งวัตถุของสินค้านั้นหรือไม่ จะไปยกเอาความไม่สมประกับของเรือมาวินิจฉัยให้ ไม่ต้องรับผิดในความวินาศของสินค้าบรรทุกนั้น หาได้ไม่.
จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น . ฯลฯ
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 868
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879.
ตัวอย่างการปรับใช้ บทกฎหหมายทั่วไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น