ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559



คำบรรยายกฎหมายซื้อขายมาตรา 456 วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม 2559


ประเภทของข้อตกลงต่าง ๆ ในการซื้อขาย
1.สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
2.สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข
3.สัญญาซื้อขายมีเงื่อนเวลา
4.สัญญาจะซื้อจะขาย
5.คำมั่นจะซื้อหรือจะขาย

การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
1.เหตุผลที่กฎหมายกำหนดให้ต้องทำตามแบบ
        1.กฎหมายเห็นว่าทรัพย์ประเภทนี้เป็นสิ่งสำคัญแก่การดำรงชีวิตของบุคคล จึงควรได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ หากควบคุมไม่ดีอาจเกิดเรื่องยุงยากขึ้นได้ กฎหมายจึงได้กำหนดแบบในการซื้อขายไว้ หรือกำหนดให้ต้องปฏิบัติเป็นพิเศษยิ่งกว่าการพูดด้วยปากเปล่า
     2. เพื่อต้องการให้เป็นหลักฐานแน่นอน กฎหมายจึงบังคับให้ไปเกี่ยวข้องกับพนักงานเจ้าหน้าที่
     3.เพื่อต้องการให้เป็นเรื่องเปิดเผยที่บุคคลภายนอกทั่วไปควรรู้ว่า ได้มีการทำนิติกรรมนั้น ๆ ขึ้น
     4.ป้องกันการฉ้อฉล ข่มขู่ หรือการเอารัดเอาเปรียบโดยไม่เป็นธรรม เพราะการจดทะเบียนย่อมทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
     5. มุ่งหมายที่จะให้มีความแน่ชัดในข้อเท็จจริงว่าคู่กรณีได้ทำสัญญากันไว้จริง (คำพิพากษาฎีกาที่ 950/2517)
     6. กฎหมายเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ จำต้องบัญญัติแบบและวิธีการขึ้น เพื่อให้รัดกุมเป็นผลดีแก่สังคม
     7. เป็นบทบังคับให้คู่กรณีต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด มิฉะนั้นสัญญาซื้อขายก็ไม่เป็นผล
     8.เป็นวิธีเปิดเผยที่กฎหมายบังคับไว้ ในเรื่องการจดทะเบียนการได้มา
     9. กฎหมายเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจัดระเบียบการซื้อขายไว้ จึงได้กำหนดแบบสำหรับซื้อขายทรัพย์สินบางอย่างขึ้นเพื่อให้รัดกุมและยุ่งยากมากกว่าปกติ
     10.เป็นการเปิดโอกาสให้คู่สัญญามีเวลาไตร่ตรองได้ตามสมควร
     11.เป็นทรัพย์ที่มีราคาสูงและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ทำให้รัฐติดตามจัดเก็บภาษีได้ง่าย

2. มาตรา 455  เมื่อกล่าวต่อไปเบื้องหน้าถึงเวลาซื้อขาย ท่านหมายความว่าเวลาซึ่งทำสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์

3. มาตรา 456  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไซร้ ท่านว่าเป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือกำปั่นหรือเรือมีระวางตั้งแต่หกตันขึ้นไป เรือกลไฟหรือเรือยนต์มีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
       ถ้าในคำมั่นมิได้กำหนดเวลาไว้เพื่อการบอกกล่าวเช่นนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้ให้คำมั่นจะกำหนดเวลาพอสมควร และบอกกล่าวไปยังคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งให้ตอบมาเป็นแน่นอนภายในเวลากำหนดนั้นก็ได้ ว่าจะทำการซื้อขายให้สำเร็จตลอดไปหรือไม่ ถ้าและไม่ตอบเป็นแน่นอนภายในกำหนดเวลานั้นไซร้ คำมั่นซึ่งได้ให้ไว้ก่อนนั้นก็เป็นอันไร้ผล

          
4.มาตรา 139  อสังหาริมทรัพย์ หมายความว่า ที่ดินและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวรหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น และหมายความรวมถึงทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับที่ดิน หรือทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้นด้วย

5.มาตรา  71* ให้เจ้าพนักงานที่ดิน เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในเขตท้องที่สำนักงานที่ดินจังหวัดหรือสำนักงานที่ดินสาขานั้น

6.มาตรา  72* ผู้ใดประสงค์จะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้คู่กรณีนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินมาขอจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา  71
     การขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง สำหรับที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน ใบไต่สวน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ คู่กรณีอาจยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ กรมที่ดิน หรือสำนักงานที่ดินแห่งใดแห่งหนึ่ง เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา  71 ดำเนินการจดทะเบียนให้ เว้นแต่การจดทะเบียนที่ต้องมีการประกาศหรือต้องมีการรังวัด

7.มาตรา  73 เมื่อปรากฏต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่านิติกรรมที่คู่กรณีนำมาขอจดทะเบียนนั้นเป็นโมฆะกรรม พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ต้องจดทะเบียนให้
หากนิติกรรมที่คู่กรณีนำมาขอจดทะเบียนนั้นปรากฏว่าเป็นโมฆียะกรรมให้พนักงานเจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนในเมื่อคู่กรณีฝ่ายที่อาจเสียหายยืนยันให้จด

8.มาตรา  74 ในการดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา  71 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสอบสวนคู่กรณีและเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้ตามความจำเป็น แล้วให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการไปตามควรแก่กร
       กรณีถ้ามีกรณีเป็นที่ควรเชื่อได้ว่า การขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้นจะเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย หรือเป็นที่ควรเชื่อได้ว่าบุคคลใดจะซื้อที่ดินเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าว ให้ขอคำสั่งต่อรัฐมนตรี คำสั่งรัฐมนตรีเป็นที่สุด

9.มาตรา  75* การดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่มีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ให้เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกข้อตกลงหรือทำสัญญาเกี่ยวกับการนั้น แล้วแต่กรณี แล้วให้จดบันทึกสารสำคัญลงในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับสำนักงานที่ดินและฉบับเจ้าของที่ดินให้ตรงกันด้วย
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และสัญญาจะขายจะซื้อ
         เมื่อเทียบกับสัญญาจะซื้อจะขายจะเห็นได้ชัด เพราะสัญญาจะซื้อขายเป็นสัญญาที่ทำกันชั่วคราวเพื่อนำไปสู่สัญญาอีกสัญญาหนึ่งในภายหน้า สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดจึงเป็นสัญญาที่ทำกันเสร็จสิ้นแล้วไม่มีการนำไปสู่สัญญาอันที่ 2 อีก ที่เรียกว่าเสร็จเด็ดขาดจึงเป็นการตกลงและทำทุกอย่างที่กฎหมายกำหนดว่าต้องทำเสร็จเด็ดขาดแล้วนั่นเอง ถ้าจะยังหลงเหลืออยู่ก็เพียงแต่ภาระในการชำระหนี้ เช่น ชำระราคาหรือส่งมอบทรัพย์ การโอนกรรมสิทธิ์ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงผลของสัญญา และเป็นหนี้ที่อย่างไรเสียก็ต้องมีการปฏิบัติ
          สัญญานี้จะมีปัญหาเฉพาะสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ถ้าเป็นสัญญาซื้อขายซื้อขายสังหาริมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งมิใช่สังหาริมทรัพย์ประเภทที่ต้องทำตามแบบ ก็คงจะไม่มีปัญหาเท่าใดนัก เพราะสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเสมอ และมีการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่กันได้สำเร็จบริบูรณ์โดยไม่ต้องทำตามแบบใดอีก กล่าวคือ เพียงแต่ตกลงกันว่าซื้อขายทรัพย์สินกัน “เสร็จเด็ดขาด”  และกรรมสิทธิ์โอนไปทันที เว้นแต่คู่สัญญาจะตกลงเรื่องเงื่อนไขเงื่อนเวลาเป็นประการอื่น

ตัวอย่าง 1
       นายเอนกกับนายโกสินทำสัญญาเป็นหนังสือมีข้อความว่า  นายเอนกขายที่ดินมีโฉนดของตนหนึ่งแปลงในราคา  5,000,000  บาท  พร้อมกับที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. 3 )  ของตน  อีกหนึ่งแปลงราคา  700,000  บาท  ให้นายโกสินทร์  นายโกสินตกลงซื้อ  นายเอนกส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงให้นายโกสินทร์แล้ว  และนายโกสินทร์ชำระราคาค่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นเงิน  5,700,000  บาท  ให้นายเอนกครบถ้วน  ลงชื่อนายเอนกผู้ขาย  นายโกสินทร์ผู้ซื้อ  ต่อมาอีก  3  ปี  นายเอนกอยากได้ที่ดินทั้งสองแปลงคืนจากนายโกสินทร์เพราะที่ดินทั้งสองแปลงมีราคาสูงขึ้นมาก  นายเอนกจึงมาเรียกที่ดินทั้งสองแปลงคืนจากนายโกสินทร์และขอให้นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดิน  นายโกสินทร์ไม่ยอมคืนอ้างว่าเป็นที่ดินของตน  ทั้งคู่ตกลงกันไม่ได้  นายเอนกยื่นฟ้องต่อศาลขอให้บังคับขับไล่นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดินทั้งสองแปลง
ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลพิจารณาแล้วได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น  ท่านจะมีคำพิพากษาให้ขับไล่นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดินทั้งสองแปลงหรือไม่  เพราะเหตุใด

ตัวอย่างที่ 2
นายดำและนายแดงได้ทำสัญญาเป็นหนังสือขายที่ดินของนายดำให้นายแดงในราคา  500,000  บาทโดยนายดำจะส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายแดงเมื่อนายแดงชำระราคาเรียบร้อย  
แต่เมื่อก่อนถึงกำหนดวันส่งมอบและชำระราคา  นายขาวได้มาบอกนายดำว่าที่ดินแปลงนี้ทางจังหวัดกำลังจะย้ายสถานที่ราชการมาอยู่ใกล้ๆ  และจะมีถนนตัดผ่านที่ดินจะมีราคาเพิ่มขึ้นมากยังไม่ควรขายตอนนี้เมื่อนายแดงได้ชำระราคาที่ดินทั้งหมดให้นายดำ  นายดำก็รับ แต่กลับไม่ยอมส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายแดงเพราะเชื่อนายขาว  นายแดงจะฟ้องร้องบังคับให้นายดำโอนส่งมอบที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และสัญญาซื้อขายระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาซื้อขายประเภทใด
ข้อสังเกตสำหรับคำถามนี้ เมื่อเป็นสัญญาเสร็จเด็ดขาดแล้วแปลว่าตกลงกันได้ทุกอย่างแล้ว ไม่ต้องไปทำสัญญาอันที่ 2 อีก  ภาระในการชำระหนี้ เช่น ชำระราคาหรือส่งมอบทรัพย์ การโอนกรรมสิทธิ์ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงผลของสัญญา และเป็นหนี้ที่อย่างไรเสียก็ต้องมีการปฏิบัติ หาใช่สาระสำคัญที่จะทำให้สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์ไม่ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2527)
ตัวอย่างที่ 3
นายดำไปเที่ยวทะเลเห็นที่ดินริมทะเลของนายแดงประกาศขาย  นายดำจึงได้ติดต่อนายแดงเจรจาขอซื้อ  นายแดงตกลงขายให้ในราคาสามล้านบาท  เมื่อตกลงแล้วนายดำได้ชำระราคาล่วงหน้าให้นายแดงไว้ก่อนหนึ่งแสนบาท  
นายแดงก็ได้เขียนใบรับเงินค่าซื้อขายที่ดินแปลงนั้นให้นายดำไว้ส่วนหนังสือสัญญาซื้อขายทั้งคู่นัดกันอีกสองอาทิตย์  จะทำในวันที่ไปดำเนินการทางโอนจดทะเบียน  เนื่องจากนายดำจะต้องรีบกลับกรุงเทพฯ  ในเย็นวันนั้น  
ต่อมาเมื่อถึงวันนัดทำสัญญาและโอนทะเบียนนายดำไปหานายแดงที่บ้านเพื่อจะรับนายแดงไปที่สำนักงานที่ดินด้วยกันจะดำเนินการจดทะเบียนโอนให้เรียบร้อย  แต่นายแดงกลับไม่ยอมโอนที่ดินแปลงนี้ให้นายดำ  ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาขายที่ดินแปลงนี้กับนายดำแต่อย่างใด  
นายดำจะฟ้องร้องบังคับให้นายแดงไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และสัญญาซื้อขายระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาซื้อขายประเภทไหน
กรณีตามอุทาหรณ์ให้พิจารณาจากคำพิพากษาฎีกานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6503/2545 การวินิจฉัยว่าสัญญาที่โจทก์และจำเลยกระทำต่อกันเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดหรือเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ต้องพิจารณาถึงข้อความในสัญญาประกอบกับเจตนาของโจทก์และจำเลยในขณะทำสัญญายิ่งกว่าชื่อของสัญญาที่ทำต่อกัน
ตัวอย่างที่ 4
นายมกราตกลงขายบ้านและที่ดินให้นายกุมภาในราคา  1  ล้านบาท  แต่นายกุมภาไม่มีเงินสดเป็นก้อน  ทั้งคู่จึงตกลงกันว่านายมกราจะส่งมอบบ้านและที่ดินให้นายกุมภา  นายกุมภาชำระเงินก้อนแรก  5  แสนบาท  ส่วนที่เหลือให้ผ่อนได้เดือนละหนึ่งแสนบาท  เมื่อผ่อนครบเป็นเงิน  1  ล้านบาท  นายมกราก็จะไปโอนทางทะเบียนให้  เมื่อนายกุมภาชำระครบ  นายมกราไม่ยอมไปโอนทะเบียนให้  เพราะมีคนมาเสนอซื้อในราคา  2  ล้านบาท  
นายกุมภาจะฟ้องให้นายมกราไปโอนทะเบียนบ้านและที่ดินให้แก่ตนตามสัญญาได้หรือไม่  และสัญญาที่นายมกราและนายกุมภาตกลงกันนั้นเป็นสัญญาประเภทใด  จงอธิบาย
กรณีตามปัญหาดังกล่าวให้ใช้คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3454/2533 เป็นแนวคำตอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3454/2533 จำเลยที่ 1 ได้ตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์โดยชำระราคาที่ดินกันเรียบร้อยและจะไปจดทะเบียนโอนให้โจทก์ภายหลัง ซึ่งเป็นลักษณะของสัญญาจะซื้อขาย ไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อได้ชำระราคากันแล้วก็ย่อมมีผลบังคับได้โดยไม่จำต้องทำสัญญาเป็นหนังสือ จำเลยที่ 2 ได้รู้เรื่องการจะซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แล้วก่อนที่จะจดทะเบียนซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง อันเป็นการไม่สุจริต ทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์จึงขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้.
หมายเหตุ – การที่ตกลงกันด้วยว่า จะไปจดทะเบียนโอนให้โจทก์ในภายหลัง แสดงว่ายังต้องทำอะไรเพิ่มเติมต่อไปอีกแม้แต่ในเรื่องการทำตามแบบของกฎหมายก็ตาม  จึงไม่ใช่สัญญาเสร็จเด็ดขาด
ตัวอย่างที่ 5
นายเอนกกับนายโกสินทำสัญญาเป็นหนังสือมีข้อความว่า  นายเอนกขายที่ดินมีโฉนดของตนหนึ่งแปลงในราคา  5,000,000 บาท  พร้อมกับที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. 3 )  ของตน  อีกหนึ่งแปลงราคา  700,000  บาท  ให้นายโกสินทร์  นายโกสินตกลงซื้อ  
นายเอนกส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงให้นายโกสินทร์แล้ว  และนายโกสินทร์ชำระราคาค่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นเงิน  5,700,000  บาท  ให้นายเอนกครบถ้วน  ลงชื่อนายเอนกผู้ขาย  นายโกสินทร์ผู้ซื้อ”  ต่อมาอีก  3  ปี  นายเอนกอยากได้ที่ดินทั้งสองแปลงคืนจากนายโกสินทร์เพราะที่ดินทั้งสองแปลงมีราคาสูงขึ้นมาก  
นายเอนกจึงมาเรียกที่ดินทั้งสองแปลงคืนจากนายโกสินทร์และขอให้นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดิน  นายโกสินทร์ไม่ยอมคืนอ้างว่าเป็นที่ดินของตน  ทั้งคู่ตกลงกันไม่ได้  นายเอนกยื่นฟ้องต่อศาลขอให้บังคับขับไล่นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดินทั้งสองแปลง
ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลพิจารณาแล้วได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น  ท่านจะมีคำพิพากษาให้ขับไล่นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดินทั้งสองแปลงหรือไม่  เพราะเหตุใด

กรณีคามคำถามดังกล่าวให้พิจารณาจากคำพิพากษาศาลฎีกาข้างล่างนี้...
      คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6503/2545 การวินิจฉัยว่าสัญญาที่โจทก์และจำเลยกระทำต่อกันเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดหรือเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ต้องพิจารณาถึงข้อความในสัญญาประกอบกับเจตนาของโจทก์และจำเลยในขณะทำสัญญายิ่งกว่าชื่อของสัญญาที่ทำต่อกัน
หนังสือสัญญาจะซื้อจะขายกรรมสิทธิ์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่ยังคงสมบูรณ์ในฐานะที่เป็นสัญญาซื้อขายโดยโอนการครอบครองในที่ดินให้แก่กัน ซึ่งทำให้โจทก์ได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดิน และเมื่อสัญญาดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่โจทก์ได้
      คำพิพากษาฎีกาที่ 394/2508  จำเลยขายที่ดินมือเปล่าให้แก่โจทก์ทำหนังสือสัญญากันเองทั้งสองฝ่ายมิได้มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาและขัดขวางไม่ให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท ดังนี้สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาดเมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ จำเลยยังไม่ได้ส่งมอบที่ดินให้โจทก์โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยส่งมอบที่ดินและขับไล่จำเลยไม่ได้
      คำพิพากษาฎีกาที่ 1212/2536 ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า การที่นางบู่ได้มอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ซื้อแล้ว จึงเป็นการโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ซื้อโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำต้องทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1235/2481 ถึงแม้เรื่องนี้โจทก์จะไม่ได้ชำระราคาที่ดินทั้งหมด สัญญานี้ก็ยังเป็นสัญญาซื้อขายเพราะจะถือว่าเมื่อผู้ซื้อยังไม่ได้ชำระราคาสัญญานั้นเป็นแต่เพียงสัญญาจะซื้อขาย ก็คงจะไม่มีการซื้อเชื่อกัน
           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2508 จำเลยขายที่ดินมือเปล่าให้แก่โจทก์ ทำหนังสือสัญญากันเอง ทั้งสองฝ่ายมิได้มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา และขัดขวางไม่ให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท ดังนี้สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาด เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ จำเลยยังไม่ได้ส่งมอบที่ดินให้โจทก์ โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยส่งมอบที่ดินและขับไล่จำเลยไม่ได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2527 วินิจฉัยว่า ปัญหาว่าจำเลยชำระราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่ เห็นว่าหนังสือสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 67400 ตามเอกสารหมาย จ.3 หรือ ล.1 ระบุว่า ผู้ขายยอมขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อพร้อมสิ่งปลูกสร้างตึกสองชั้นเลขที่ 14 เป็นราคาเงิน 700,000 บาท ผู้ซื้อได้ชำระและผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินรายนี้เสร็จแล้ว แสดงว่าโจทก์ยอมรับว่าจำเลยได้ชำระเงินค่าที่ดินทั้งหมดให้โจทก์แล้วในวันทำสัญญา การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 การที่โจทก์นำพยานบุคคลมาสืบว่าในวันทำหนังสือสัญญาขายที่ดินดังกล่าว โจทก์ยังไม่ได้รับชำระเงินค่าที่ดินเพราะจำเลยไม่มีเงิน จำเลยได้ตกลงกับนายสินเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอันแท้จริงว่าจะนำมาชำระให้นายสินที่สำนักงานบริษัทของนายสินภายใน 7 วันนั้น เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในหนังสือสัญญาขายที่พิพาท เป็นการต้องห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ดังนั้น จึงต้องฟังตามหนังสือสัญญาขายที่ดินว่า โจทก์ได้รับชำระราคาที่ดินที่ขายพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยเป็นเงิน 700,000 บาท ตามที่ปรากฏในหนังสือสัญญาหมาย จ.3 แล้ว
          ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยยังไม่ชำระราคาที่พิพาทสัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์โจทก์ย่อมนำสืบถึงความไม่สมบูรณ์ของสัญญาได้นั้น เห็นว่าเมื่อโจทก์จำเลยทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่พิพาทและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วการซื้อขายย่อมเสร็จเด็ดขาดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายย่อมโอนไปยังผู้ซื้อในทันทีเมื่อได้ทำสัญญากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 การชำระราคาทรัพย์สินที่ขายเป็นเพียงข้อกำหนดของสัญญาเท่านั้น หาใช่สาระสำคัญที่จะทำให้สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟังพยานบุคคลที่โจทก์นำสืบ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เป็นการชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
         คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3601/2538  สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ซื้อขายกันได้โอนไปยังจำเลยแล้ว แต่หากจำเลยยังชำระราคาที่ดินให้โจทก์ไม่ครบถ้วน ก็เป็นเรื่องที่จำเลย ไม่ชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้จำเลยชำระราคาที่ยังค้างชำระให้โจทก์ภายในกำหนดระยะเวลานั้นได้ และถ้าจำเลยยังไม่ชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 และเมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกที่ดินคืนจากจำเลยตามมาตรา 391

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2497  คดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลย ให้การรับกันว่าเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๔๙๔ โจทก์จำเลยตกลงกันทำสัญญาซื้อขายเรือนกัน แล้วจำเลยได้ทำสัญญาเช่าเรือนนั้นอยู่ต่อไป โจทก์อ้างว่าสัญญานั้นเป็นสัญญาจะซื้อจะขายเรือน ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปทำหนังสือและจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนจำเลยต่อสู้ว่า เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาด เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นโมฆะ คู่ความตกลงกันขอให้ศาลวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายที่โจทก์จำเลยทำกันไว้มีผลบังคับ จำเลยยอมให้บังคับคดีตามฟ้อง ถ้าไม่มีผลให้ศาลยกฟ้อง ส่วนค่าเช่านั้นเป็นตามจำเลยต่อสู้ คู่ความไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าสัญญานี้เป็นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนย่อมเป็นโมฆะ กรรมสิทธิ์ไม่ตกเป็นของโจทก์ แต่สัญญายังมีผลเป็นสัญญาจะซื้อจะขายตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๓๖ จำเลยผูกพันในอันจะต้องไปทำหนังสือและจดทะเบียนโอนให้โจทก์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยพิพากษาว่า เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เพราะมีการรับชำระราคาทั้งหมด และมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายแก่กัน โดยที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อมิได้มีการจดทะเบียน นิติกรรมจึงเป็นโมฆะ  โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญานี้เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาด เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมเป็นโมฆะ เมื่อท้องสำนวนไม่มีเหตุให้สันนิษฐานว่าโจทก์จำเลยยังมีเจตน์จำนงว่าถ้าสัญญาซื้อขายนี้ไม่สมบูรณ์ ก็คงจะได้ตั้งใจให้สมบูรณ์เข้าแบบเป็นนิติกรรมอย่างอื่น จึงพิพากษายืน

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2508 จำเลยขายที่ดินมือเปล่าให้แก่โจทก์ ทำหนังสือสัญญากันเอง ทั้งสองฝ่ายมิได้มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา และขัดขวางไม่ให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท ดังนี้สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาด เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ จำเลยยังไม่ได้ส่งมอบที่ดินให้โจทก์ โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยส่งมอบที่ดินและขับไล่จำเลยไม่ได้
ข้อสังเกต จากคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้ คือ แม้โจทก์จะไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและไม่มีทางจะได้กรรมสิทธิ์เลย เพราะสัญญาซื้อขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 456 แต่สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยก็เป็นสัญญาเสร็จเด็ดขาดนั่นเอง หากแต่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่เป็นโมฆะ บังคับกันแก่กันมิได้ ข้อนี้ถ้าถือว่าสัญญาซื้อขายเป็น สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดต่อเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้วเด็ดขาด ก็จะมีปัญหาว่าสัญญาซื้อขายดังกล่าวข้างต้นเป็นสัญญาซื้อขายประเภทใด เพราะจะจัดเป็นประเภทสัญญาจะซื้อขายก็มิได้

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2530  สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ทั้งไม่ได้ระบุว่าคู่สัญญาจะไปจดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่มีข้อความชัดว่าให้เรียก ค. เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ว่าผู้ขาย เรียกโจทก์ว่าผู้ซื้อ กับมีข้อความด้วยว่าผู้ขายได้ขายนาพิพาทให้ผู้ซื้อและยอมมอบนาให้ผู้ซื้อเสร็จตั้งแต่วันทำสัญญา แสดงว่าโจทก์กับ ค. มีเจตนาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ข้อตกลงแบ่งชำระราคาเป็นงวด ๆ ไม่ใช่เงื่อนไขแห่งสัญญา
จำเลยทั้งหกรับโอนที่นาพิพาทมาร่วมกัน ความรับผิดที่ต้องชำระเงินให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้อันไม่อาจจะแบ่งแยกกันได้ แม้จำเลยบางรายจะไม่ได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยนั้น ๆ ได้.

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2525   การซื้อขายที่ดินต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีว่า ตั้งใจจะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันในภายหลังหรือไม่ หากไม่มีเจตนาดังกล่าวก็เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดสัญญาตกเป็นโมฆะ หากมีเจตนาดังกล่าว ก็เป็นสัญญาจะซื้อขาย การชำระราคาและส่งมอบที่ดินให้แก่กัน ก็ถือเป็นการชำระหนี้บางส่วนซึ่งจะบังคับตามสัญญาซื้อขายได้ เมื่อโจทก์จำเลยมีเจตนาชัดแจ้งที่จะไม่นำการซื้อขายที่ดินพิพาทไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในภายหลังอีก แต่โจทก์จะโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นต่อไปโดยอาศัยใบมอบอำนาจของจำเลยจึงเป็นการซื้อขายเด็ดขาด เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456

ตัวอย่างที่ 6
 ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนบ้านพร้อมที่ดินให้โจทก์  ฐานผิดสัญญาจะซื้อจะขาย  จำเลยได้รับสำเนาฟ้องแล้ว  จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า  จำเลยกับโจทก์ทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จเด็ดขาด  หาใช่สัญญาจะซื้อจะขายไม่  และสัญญาก็ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินย่อมตกเป็นโมฆะ  ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์  
ต่อมาศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วได้ข้อเท็จจริงว่า  จำเลยได้ขายบ้านพร้อมที่ดินให้โจทก์ในราคา  5  ล้านบาท  โดยจำเลยยอมเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอน  ทั้งจำเลยได้รับเงินราคาค่าบ้านพร้อมที่ดินจากโจทก์ไว้ก่อน  500,000  บาท  หลังจากนั้น  จำเลยนำเงิน  500,000  บาทมาขอคืนให้โจทก์  และไม่ขายบ้านพร้อมที่ดินให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับและขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนให้โจทก์อ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะ  ศาลชั้นต้นจึงมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี  ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนบ้านพร้อมที่ดินที่พิพาทให้โจทก์ฐานผิดสัญญาจะซื้อจะขาย  หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา  ให้โจทก์ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ดังนี้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายซื้อขายหรือไม่  เพราะเหตุใด
กรณีตามปัญหาดังกล่าวให้เทียบเคียงกับคำพิพากษาข้างล่างนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2497  
คดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลย ให้การรับกันว่าเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๔๙๔ โจทก์จำเลยตกลงกันทำสัญญาซื้อขายเรือนกัน แล้วจำเลยได้ทำสัญญาเช่าเรือนนั้นอยู่ต่อไป โจทก์อ้างว่าสัญญานั้นเป็นสัญญาจะซื้อจะขายเรือน ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปทำหนังสือและจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนจำเลยต่อสู้ว่า เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาด เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นโมฆะ คู่ความตกลงกันขอให้ศาลวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายที่โจทก์จำเลยทำกันไว้มีผลบังคับ จำเลยยอมให้บังคับคดีตามฟ้อง ถ้าไม่มีผลให้ศาลยกฟ้อง ส่วนค่าเช่านั้นเป็นตามจำเลยต่อสู้ คู่ความไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าสัญญานี้เป็นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนย่อมเป็นโมฆะ กรรมสิทธิ์ไม่ตกเป็นของโจทก์ แต่สัญญายังมีผลเป็นสัญญาจะซื้อจะขายตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๓๖ จำเลยผูกพันในอันจะต้องไปทำหนังสือและจดทะเบียนโอนให้โจทก์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยพิพากษาว่า เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เพราะมีการรับชำระราคาทั้งหมด และมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายแก่กัน โดยที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อมิได้มีการจดทะเบียน นิติกรรมจึงเป็นโมฆะ  โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญานี้เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาด เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมเป็นโมฆะ เมื่อท้องสำนวนไม่มีเหตุให้สันนิษฐานว่าโจทก์จำเลยยังมีเจตน์จำนงว่าถ้าสัญญาซื้อขายนี้ไม่สมบูรณ์ ก็คงจะได้ตั้งใจให้สมบูรณ์เข้าแบบเป็นนิติกรรมอย่างอื่น จึงพิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2508 จำเลยขายที่ดินมือเปล่าให้แก่โจทก์ ทำหนังสือสัญญากันเอง ทั้งสองฝ่ายมิได้มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา และขัดขวางไม่ให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท ดังนี้สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาด เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ จำเลยยังไม่ได้ส่งมอบที่ดินให้โจทก์ โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยส่งมอบที่ดินและขับไล่จำเลยไม่ได้





คำบรรยายแพ่งทั่วไป ในวันที่ 27 สิงหาคม 2559

1.มีสุภาษิตกฎหมายอยู่บทหนึ่งว่า Ubi societas, ibi jus  - Where there is society there is law. แปลว่า ที่ใดมีสังคม ที่นั่นย่อมมีกฎหมาย หรืออาจพูดให้ชัดลงไปก็ได้ว่า ที่ใดมีสังคมที่นั่นย่อมมีกฎหมายแพ่ง  ในทางสังคมวิทยายอมรับกันว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว มนุษย์จึงต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม และเมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม
            การติดต่อสมาคมกันเพื่อแลกเปลี่ยนปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การกู้หนี้ยืมสิน หรือการทำสัญญาต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น
            ความสัมพันธ์กันทั้งในเรื่องชีวิตส่วนตัว เช่น การสมรส การจัดการทรัพย์สินของตนเอง ก็เกิดขึ้น
            การแบ่งปันทรัพย์สินให้กับบุตรหลานเมื่อตนยังมีชีวิต หรือเมื่อตนเสียชีวิตแล้วก็เกิดขึ้น
ความจำเป็นที่จะต้องสร้างกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้น เพื่อควบคุมความประพฤติของสมาชิกในสังคมให้เป็นไปในทำนองเดียวกัน และรักษาความเป็นระเบียบตลอดจนความสงบเรียบร้อยของสังคมไว้
               เพราะเมื่อใดก็ตามที่สังคมขาดความเป็นระเบียบ ความวุ่นวายและความเสียหายต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้น อันจะเป็นเหตุนำไปสู่ความพินาศของสังคมนั้นในที่สุด
               เนื้อหาสาระของกฎเกณฑ์ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมนี้เองที่นำมาสู่กฎหมายที่เรียกกันว่า กฎหมายแพ่ง
2. ตั้งแต่ต้นสมัยคริสตกาลแล้ว นักนิติศาสตร์ได้แบ่งกฎหมายออกเป็น สองประเภท หรือสองสาขา คือ กฎหมายเอกชน (private law[1]) และกฎหมายมหาชน [public law] ความคิดที่ว่ากฎหมายแบ่งออกเป็น 2 ประเภทเช่นนี้มีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมันแล้ว  ซึ่งอาณาจักรโรมันนี้จะดำรงอยู่ประมานก่อนคริสตกาล [The Romans believed that their city was founded in the year 753 BC. Modern historians though believe it was the year 625 BC.] ปี และหลังคริสตกาลประมาณ ค.ศ. 395  [27 BC – 395 AD] โดยนักกฎหมายโรมันในสมัยต้นคริสตกาลเคยอธิบายว่า กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่เกี่ยวกับรัฐโรมัน ในขณะที่กฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของเอกชนแต่ละคน 
3.โดยที่อาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล [Two thousand years ago, the world was ruled by Rome. From England to Africa and from Syria to Spain, one in every four people on earth lived and died under Roman law.] ผู้คนมากหน้าหลายตาหลายเผ่า มีกฎหมายอยู่หลายชนิด ทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือที่เป็นความเห็นของนักนิติศาสตร์ที่กษัตริย์โรมันยอมให้ใช้ความเห็นนั้นเป็นกฎหมายตัดสินข้อพิพาทได้ ทำให้เกิดความสับสนอลหม่านจนยากแก่การปรับบทกฎหมายใช้แก่คดี จึงได้พยายามจะประกาศใช้กฎหมายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนในที่สุดใสมัยของพระเจ้าจัสติเนียน [Justinian the Great and also Saint Justinian the Great in the Eastern Orthodox Church,The total of Justinian's legislature is known today as the Corpus juris civilis – Body of the civil law.] ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของโรม [Because of his restoration activities, Justinian has sometimes been called the "last Roman" in modern historiography.[] ได้ดำเนินการให้มีการรวบรวมชำระบทกฎหมายใหม่ สกัด คัดย่อ ต่อเติม และทำทุกประการที่จะให้มีกฎหมายอันเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นใช้ได้ตลอดทั่วราชอาณาจักร และผลจากการนี้ทำให้เกิดวรรณกรรมทางกฎหมาย ขึ้น 4 เล่ม[ The Corpus continues to have a major influence on public international law. Its four parts thus constitute the foundation documents of the Western legal tradition[2]. ]ดังนี้
1 Institutions Justiniani  หรือ Institutions
2. Digesta Justiniani  หรือ Digest - is a collection of juristic writings
3.Codex Justiniani หรือ Code [These works had developed authoritative standing.]
4. Novellae Justiniani หรือ Novels [The Novellae consisted of new laws that were passed after 534.]
รวมกันเรียกว่า คอร์พุส จูริส ซิวิลิศ (Corpus Juris Civilis  - The Corpus Juris (or Iuris) Civilis ("Body of Civil Law") is the modern name[1] for a collection of fundamental works in jurisprudence[3], issued from 529 to 534 by order of Justinian I, Eastern Roman Emperor. It is also sometimes referred to as the Code of Justinian, although this name belongs more properly to the part titled Codex Justinianus. ) ซึ่งแปลว่าประมวลกฎหมายแพ่ง ฉบับที่โด่งดังและเป็นประมวลกฎหมายโดยแท้และสมบูรณ์ในตัวเองกว่าเล่มใด ๆ ก็คือ Institutes จนถือว่า นี่คือ จุส ซิวิเล[ Jus Civile - the rules and principles of law derived from the customs and legislation of Rome],เพราะได้รวบรวมกฎหมายที่ใช้มากกว่า 500 ปี มาตรวจชำระใหม่แล้วแบ่งหมวดหมู่ออกได้เป็น 3 บรรพ ได้แก่
            บรรพที่ 1 ว่าด้วยบุคคล
            บรรพที่ 2 ว่าด้วยทรัพย์สิน
            บรรพที่ 3 ว่าด้วยการได้มาและสินไปซึ่งสิทธิและทรัพย์สิน
จนเป็นที่มาของประมวลกฎหมายแพ่งในประเทศทั้งหลาย ณ บัดนี้

3. ความหมายของกฎหมายแพ่ง

       1.   คำว่า " แพ่ง" เป็นคำในกฎหมายเก่าของไทยมาแต่โบราณ ดังปรากฏเป็นถ้อยคำในกฎหมายลักษณะรับฟ้องในกฎหมายตราสามดวง ที่บัญญัติถึงการห้ามรับฟ้องจากบุคคล 20 ประเภท ว่า "....หนึ่งเป็นพิกลจริตบ้าใบ้สูงอายุ หาสติมิได้มา....ถ้าต้องด้วยพระไอยการห้าม 20 ประเภทนี้แล้ว ให้ยกฟ้องเสีย โดยถือว่าคดีทั้ง 20 ประเภทนี้เป็นคดีแพ่ง "  แต่ในสมัยนั้นยังไม่จำแนกเด็ดขาดเป็นความแพ่งหรือความอาญา ยังคงปนกันไป เช่น ตามกฎหมายลักษณะวิวาทมาตรา 14 ถ้าผู้หนึ่งไปชกต่อยทุบตีเขา ผู้เสียหายด่าทอโต้ตอบเอา กฎหมายระบุโทษว่า 
" ท่านให้ถอดสินไหมพินัยโดยเบี้ยกรมศักดิ์กลบลบกันทีหนึ่ง เพราะตีมันก่อน มันจึงด่า ด่ามันก่อนมันจึงตี "  สินไหม คือ การให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดอันเป็นเรื่องทางแพ่ง ส่วนพินัยก็คือ โทษปรับเอาเป็นทรัพย์ของทางราชการ

        ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มี พ.ร.บ. พิจารณาความแพ่ง ร.ศ. 117 (พ.ศ. 2411) นิยามคำว่าความแพ่งเป็นครั้งแรกว่า " คดีทั้งปวงฟ้องกันด้วยประการใด ๆ ก็ดี ที่มิได้ร้องขอให้มีโทษอาญาหลวงตามกฎหมาย และเป็นแต่จะตัดสินให้แล้วแก่กันได้ด้วยสินทอดไหมฤาใช้ทุนทรัพย์ทั้งปวงนั้นเรียกว่า "ความแพ่ง"    

     
2. ตามพจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 คำว่า แพ่ง หมายความว่า ที่เกี่ยวกับสิทธิส่วนเอกชน เช่น กฎหมายแพ่ง คดีแพ่ง  ซึ่งตรงกับคำว่า civil ในภาษาอังกฤษ แต่คำเหล่านี้ล้วนมีที่มาจากคำในภาษาละตินว่า จุส ซิวิเล (jus civile) อันหมายถึง กฎหมายที่ใช้บังคับแก่เอกชนชาวเมือง หรือชาวพื้นเมืองโรมัน ดังที่ Black's Law Dictionary ให้ความหมายว่า The traditional law of the city of Rome, beginning with the  Twelve Tables and developed by juristic interpretation. It covered areas of law restricted to roman citizens, such as formalities of making a will. จุส ซิวิเล ของอาณาจักรโรมันเป็นต้นตำรับของกฎหมายแพ่งของประเทศทั้งหลายในเวลาต่อมา แม้ต่ชื่อกฎหมายแพ่งที่เรียกกันในเลานี้ว่า civil law หรือ civil code ก็มีทีมาจากคำในภาษาละตินว่า jus civile นี่เอง แต่ จุส ซิวิเล ของโรมันไม่ได้มีลักษณะและเนื้อหาเป็นกฎหมายแพ่งแท้ ๆ อย่างในทุกวันนี้ เพราะในเบื้องต้นก็เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแก่เอกชนชาวเมืองเท่านั้น ไม่ใช้กับคนต่างด้าว ประการที่สอง ไม่มีรูปแบบเป็นตัวบทกฎหมายชัดเจน หากแต่เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร มติสภา พระบรมราชโองการ ความเห็นของนักนิติศาสตร์ ประเพณีและหลักแห่งความยุติธรรมปะปนกันไป ประการที่สามเนื้อหาสาระของจุส ซิวิเล มีทั้งส่วนที่เป็นกฎหมายว่าด้วยบุคคล ครอบครัว มรดก สัญญา หนี้ ทรัพย์สิน ละเมิด กฎหมายอาญาและกฎหมายมหาชาอื่น ๆ ระคนปนกันไปเหมือนกับกฎหมายไทยโบราณ เพราะเหตุทางประวัติศาสตร์ดั่งนี้เอง กฎหมายแพ่งของประเทศทั้งหลายในเวลาต่อมาจึงเรียกว่า civil law และเมื่อจัดทำเป็นประมวลกฎหมายแล้วก็เรียกว่า Civil Code ส่วนเนื้อหาสาระก็ยังคงว่าด้วย บุคคล สัญญา หนี้ ทรัพย์สิน ครอบครัว มรดก คล้าย ๆ กับที่ปรากฎอยู่ในจุส ซิวิเล (สมัยตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 500- 829)

    3.สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของกฎหมายแพ่งว่า "
คือบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ระหว่างเอกชนกับเอกชน และอาจฟ้องร้องกันได้ในทางทรัพย์สิน หรือบังคับให้ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือห้ามปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น "  แต่สารานุกรมกฎหมายของต่างประเทศน่าจะให้ความหมายชัดเจนกว่า โดยอธิบายว่า กฎหมายแพ่งได้แก่ กฎหมายเอกชนซึ่งกำหนดกฎเกณฑ์ความสันพันธ์ของเอกชนระหว่างกันที่มิใช่ความสัมพันธ์ทางอาชีพหรือวิชาชีพ (International Encyclopedia of Comparative Law, vol 1, p.65) คำว่าเอกชนในที่นี้อาจหมายความถึงราษฎรแต่ละคนในฐานะที่เป็นปัจเจกชน หรือรัฐที่ยอมลดฐานะลงมาเป็นเอกชนเพื่อประโยชน์ในการใช้สิทธิหรือมีหน้าที่ต่อเอกชนอื่นอย่างเสมอภาคกันก็ได้ Black's Law Dictionary ให้ความหมายของ Civil Code ว่า A comprehensive and systematic legislative pronouncement of the whole private, non commercial law in a legal system of the continental civil law tradition.

ประวัติกฎหมายไทย
               
ระเบียบกฎหมายไทยเป็นดังนี้มาจนถึงช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยก็ได้ยึดแนวทางตรากฎหมายอย่างอังกฤษ กระนั้น คำเรียกกฎหมายก็เฝืออยู่ เช่น บางฉบับตราเป็นพระราชกำหนดแต่ให้ชื่อว่าพระราชบัญญัติก็มี ราชบัณฑิตยสถานสันนิษฐานว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะพระราชกำหนดและพระราชบัญญัติสมัยนั้นมีความหมายอย่างเดียวกัน ครั้นต่อมาเมื่อมีรัฐธรรมนูญสำหรับปกครองแผ่นดินขึ้นแล้ว ก็มีการแบ่งแยกอำนาจเป็นฝ่าย ๆ ไป อำนาจในการออกกฎหมายจึงตกแก่ฝ่ายนิติบัญญัติ และกฎหมายก็เป็นระบบระเบียบดังกาลปัจจุบัน


กฎหมายในยุคสุโขทัย
ปรากฎอยู่ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ( ปี พ.ศ. ๑๘๒๘-๑๘๓๕ ) เรียกกันว่า กฎหมายสี่บท และมีการเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะโจรลงไปในครั้งรัชสมัยพญาเลอไทย กษัตริย์สุโขทัยองค์ที่ ๔ ซึ่งมีส่วนของการนำกฎหมายพระธรรมศาสตร์มาใช้ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพราหมณ์ ซึ่งได้มีส่วนขยาย ที่เรียกว่า พระราชศาสตร์มาใช้ ประกอบด้วย
กฎหมายกรุงศรีอยุธยา
กรุงศรีอยุธยาเป็นชารธานีแห่งที่สองของไทย ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑๐พระมหากษัตริย์ในยุคนั้น ได้สร้างกฎหมายซึ่งเรียกว่าพระราชศาสตร์ไว้มากมาย พระราชศาสตร์เหล่านี้ เมื่อเริ่มต้นได้อ้างถึงพระธรรมศาสตร์ฉบับของมนูเป็นแม่บท เรียกกันว่า มนูสาราจารย์พระธรรมศาสตร์ฉบับของมนูสาราจารย์นี้ เป็นกฎหมายที่มีต้นกำเนิดในอินเดีย เรียกว่าคำภีร์พระธรรมศาสตร์ ต่อมามอญได้เจริญและปกครองดินแดนแหลมทองมาก่อน ได้แปลต้นฉบับคำภีร์ภาษาสันสกฤตมาเป็นภาษาบาลีเรียกว่า คำภีร์ธรรมสัตถัมและได้ดัดแปลงแก้ไขบทบัญญัติบางเรื่องให้มีความเหมาะสมกับชุมชนของตน ต่อจากนั้นนักกฎหมายไทยในสมัยพระนครศรีอยุธยาจึงนำเอาคำภีร์ของมอญของมอญมาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายของตน ลักษณะกฎหมายในสมัยนั้นจะเป็นกฎหมายอาญาเสียเป็นส่วนใหญ่ ในยุคนั้น การบันทึกกฎหมายลงในกระดาษเริ่มมีขึ้นแล้ว เชื่อกันว่าการออกกฎหมายในสมัยก่อนนั้น จะคงมีอยู่ในราชการเพียงสามฉบับเท่านั้น ได้แก่ ฉบับที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้งาน ฉบับให้ขุนนางข้าราชการทั่วไปได้อ่านกัน หรือคัดลอกนำไปใช้ ฉบับสุดท้ายจะอยู่ที่ผู้พิพากษาเพื่อใช้ในการพิจารณาอรรถคดี
กฎหมายกรุงรัตนโกสินทร์ ( พ.ศ. 2310-2325)
ในสมัยนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่๑ เห็นว่ากฎหมายที่ใช้กันแต่ก่อนมานั้นขาดความชัดเจน และไม่ได้รับการจัดเรียงไว้เป็นหมวดหมู่ง่ายต่อการศึกษาและนำมาใช้ จึงโปรดเกล้าให้มีการชำระกฎหมายขึ้นมาใหม่ ในคำภีร์พระธรรมศาสตร์ โดยนำมารวบรวมกฎหมายเดิมเข้าเป็นลักษณะๆ สำเร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๘ และนำมาประทับตราเข้าเป็นตราพระราชสีห์ ซึ่งเป็นตราของกระทรวงมหาดไทย ตราคชสีห์ ของพระทรวงกลาโหม และตราบัวแก้ว ซึ่งเป็นตราของคลัง บนหน้าปกแต่ละเล่ม ตามลักษณะระของการปกครองในสมัยนั้น กฎหมายฉบับนั้นเรียกกันว่า กฎหมายตราสามดวง กฎหมายตราสามดวงนี้ ถือเป็นประมวลกฎหมายของแผ่นดินที่ได้รับการปรับปรุงให้มีความรัดกุม ยุติธรรมทั้งทางแพ่งและอาญา นอกจากจะได้บรรจุพระธรรมศาสตร์ตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ยังคงมีกฎหมายสำคัญๆอีกหลายเรื่อง อาทิ กฎหมายลักษณะพยาน ลักษณะทาส ลักษณะโจร และต่อมาได้มีการตราขึ้นอีกหลายฉบับ ต่อมาประเทศไทยมีการติดต่อสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศต่างๆมาก พึงเห็นได้ว่ากฎหมายเดิมนั้นไม่ได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศ จนทำให้ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต นอกจากนั้นยังไม่สามารถนำมาใช้บังคับได้ทุกกรณี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงตรากฎหมายขึ้นใหม่ อาทิ พระราชบัญญัติมารดาและสินสมรส ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดวางระบบศาลขึ้นมาใหม่ และได้ให้ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายทั้งจากอังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น และลังกามาเป็นที่ปรึกษากฎหมาย และในสมัยนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ก็ได้แก้ไขชำระกฎหมายตราสามดวงเดิมขึ้นใหม่ และจัดพิมพ์ขึ้นในชื่อของ กฎหมายราชบุรีในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจชำระและร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ ทำการร่างกฎหมายลักษณะอาญา กฎหมายว่าด้วยการเลิกทาส กฎหมายวิธีบัญญัติ ร่างประมวลกฎหมายแพ่งและกฎหมายที่สำคัญหลายๆฉบับ และในรัชสมัยต่อมา กฎหมายไทยได้ถูกพัฒนาสืบต่อกันยาวนาน ตราบจนทุกวันนี้ มีการจัดทำประมวลกฎหมาย และร่างกฎหมายต่างๆเป็นจำนวนมาก ซึ่งกฎหมายไทยนั้น ได้รับอิทธิพลทั้งจากกฎหมายภาคพื้นยุโรป อาทิกฎหมายอังกฤษ กฎหมายฝรั่งเศส รวมทั้งจารีตประเพณีเดิมของไทยด้วย (มีอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ และ ๖ ว่าด้วยเรื่องครอบครัวและมรดก) และได้รับการแก้ไขให้มีความสอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา มีกฎหมายที่ทันสมัยถูกตราขึ้นใหม่ๆตลอด เช่น กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา หรือที่เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ   ( https://th.wikibooks.org/wiki )

การจัดทำกฎหมายแพ่งของไทย
การจัดทำกฎหมายแพ่งในรูปประมวลกฎหมายเริ่มขึ้นในรัชกาลที่ 5 เพราะมีความจำเป็นต้องนำไปเป็นข้อต่อรองกับต่างประเทศที่เข้ามามีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในประเทศไทยด้วยอำนาจของสนธิสัญญาทวิภาคี ประมวลฉบับแรกที่สำเร็จในรัชกาลที่5 คือ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 สมัยรัชกาลที่ 6 ก็ได้จัดทำ ป.พ.พ.ต่อไป แต่โดยที่การจัดทำต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลายอย่างต้องคำนึงถึงจารีตประเพณี ความรู้สึกนึกคิดของประชาชน ขณะนั้นนานาประเทศไม่ได้ยืนยันว่าไทยจะต้องจัดทำกฎหมายหลักให้อารยะในรูปแบบของประมวลกฎหมาย อาจเป็นจารีตประเพณีอย่างอังกฤษก็ได้  ด้วยพระเนตรอันยาวไกลของรัชกาลที่ 5  จึงเห็นควรให้จัดทำในรูปของประมวลกฎหมาย โดยการว่าจ้างนักกฎหมายจากประเทศเหล่านั้นเป็นที่ปรึกษาและแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ การจัดทำได้ยกร่างเป็นภาษาอังกฤษก่อน แล้วค่อยแปลเป็นภาษาไทย ในที่สุดได้ดำเนินการสำเร็จ และต่างประเทศได้ยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเมื่อปี พ.ศ. 2481หมดสิ้น  รัฐบาลในขณะนั้นได้แจ้งต่อรัฐสภาว่า เป็นอันว่า ศาลยุติธรรมมีอิสรภาพบริบูรณ์ในการที่จะพิจารณาพิพากษาคดีได้ทุกประเภท....
ประมวลกฎหมายแพ่งของไทยมีทั้งหมด 6 บรรพ
         การจัดทำบรรพ 1 และบรรพ 2 เสร็จลงและประกาศใช้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2467 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2468 เป็นต้นไป
        ส่วนพรรพที่ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญาได้ประกาศใช้ครั้งแรกในวันที่ 1 มกราคม 2467 แต่เมื่อมีการเลื่อน ใช้บรรพใช้บรรพ 1 และบรรพ 2 ทำให้ต้องเลื่อนการประกาศใช้บรรพ 3 ออกไปด้วย
       ในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการประกาศใช้บรรพ 3 เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2471 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2472 เป็นต้นไป ส่วนบรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน ประกาศใช้เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2473 แต่ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2475 เป็นต้นไป
          ในการยกร่างประมวลกฎหมายทั้ง 4 บรรพนี้ ได้ยกร่างขึ้นเป็นภาษาอังกฤษก่อนแล้วจึงแปลเป็นภาษาไทย โดยมีบุคคลสำคัญที่เป็นปราชญ์ทางภาษาในสมัยนั้นหลายคนร่วมกันแปล เช่น กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เป็นต้น เหตุนี้หากมีปัญหาเกี่ยวด้วยถ้อยคำ สำนวน บางครั้งต้องไปดูต้นร่างที่เป็นภาษาอังกฤษก็จะทำให้เข้าใจชัดเจนขึ้น
          ส่วนการจัดทำบรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัว และบรรพ 6 ว่าด้วยมรดก มาเสร็จสิ้นลงหลังสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว โดยยกร่างเป็นภาษาไทยตั้งแต่แรก และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2478 เป็นต้นไป

ทั้งหมด คือ ที่มาชองประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทยที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน

ในการศึกษากฎหมายแพ่ง หลักทั่วไป
            จะเน้นการศึกษาในประมวลแพ่ง ซึ่งเป็นบทเบ็ดเสร็จทั่วไป ตั้งแต่มาตรา 4 ถึงมาตรา 14
ประกอบด้วย
1.การใช้กฎหมายแก่ข้อเท็จจริง
2.การตีความในกฎหมาย
3.การอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย
4.หลักสุจริต


โดยจะเริ่มด้วยการศึกษา การใช้กฎหมายแก่ข้อเท็จจริงและการตีความในกฎหมาย ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 แห่ง ปพพ. ความว่า
                มาตรา 4  กฎหมายนั้น  ต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด  แห่งกฎหมายตามตัวอักษร  หรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น 
           เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป
          การใช้กฎหมาย นั้น หมายถึง การนำกฎหมายมาใช้บังคับแก่ข้อเท็จจริงในกรณีเฉพาะเรื่อง ซึ่งอาจมีผู้ใช้แตกต่างกัน ในการที่ศาล เจ้าพนักงาน หรือราษฎรจะนำกฎหมายมาใช้ ในบางกรณีก็ทำได้ง่าย เพราะถ้อยคำแห่งตัวบทกฎหมายชัดเจนแน่นอน ผู้ใช้กฎหมายสามารถทราบความหมายของกฎหมายได้ทันที  มีข้อควรสังเกตว่าในทางปฏิบัติ มีน้อยกรณีเต็มทีถ้อยคำในบทกฎหมายชัดเจนโดยไม่ต้องตีความ เพราะโดยปกติจะทราบว่าถ้อยคำ ในบทกฎหมายมีความหมายอย่างไร ก็ต้องดูถ้อยคำนั้นทั้งหมด หรือตัวบทกฎหมายที่อยู่ข้างเคียง แต่ในบางกรณีก็ทำได้ยาก เพราะถ้อยคำในกฎหมายไม่ชัดเจนแน่นอน กล่าวคือ มีถ้อยคำกำกวม หรือมีความหมายได้หลายทาง ในกรณีเช่นว่านี้ ก็จำต้องตีความในกฎหมายหรือแปลความในกฎหมาย
          1 การตีความในกฎหมาย หมายถึง การค้นหาความหมายของกฎหมายที่มีถ้อยคำไม่ชัดเจนแน่นอน คือกำกวมมีความหมายได้หลายทาง เพื่อหยั่งทราบว่าถ้อยคำของบทบัญญัติของกฎหมายว่ามีความหมายอย่างไร
        2 การตีความในกฎหมายจะพึงกระทำต่อเมือมีข้อสงสัยในความหมายของกฎหมายเกิดขึ้น ถ้ากฎหมายชัดเจนอยู่แล้วก็ไม่ต้องตีความ
        



ดังต่อไปนี้
          1.ศาลยุติธรรม กฎหมายที่บัญญัติขึ้นนั้นย่อมมีลักษณะเป็นข้อบังคับทั่ว ๆ ไป โดยวางข้อบังคับเป็นกลาง ๆ ฉะนั้น เมื่อมีคดีเกิดขึ้นในศาล ศาลย่อมจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงจากคำพยานและหลักฐานอื่น เมื่อฟังข้อเท็จจริงแน่นอนประการใดแล้ว ศาลก็จะต้องนำกฎหมายซึ่งเป็นข้อบังคับทั่ว ๆ ไปนี้มาปรับแก่ข้อเท็จจริงที่ฟังได้นั้น
          2.เจ้าพนักงาน การนำกฎหมายมาปรับแก่ข้อเท็จจริงมิใช่เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลโดยเฉพาะเท่านั้น เจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับคดี เช่น พนักงานสอบสวย หรือพนักงานอัยการก็ดี เจ้าพนักงานซึ่งจะต้องอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติราชการก็ดี ก็ย่อมจะต้องนำกฎหมายมาใช้แก่ข้อเท็จจริงเหมือนกัน
          3.ราษฎร ราษฎรที่ระมัดระวังผลประโยชน์ของตนเองก็ต้องใช้กฎหมายเช่น เมื่อจะทำนิติกรรม ย่อมจะต้องนำกฎหมายมาใช้แก่นิติกรรมนั้น ๆ เพื่อที่จะทราบว่าผลในทางกฎหมายของการทำนิติกรรมของตนนั้นมีอย่างใด นอกจากนี้ในทางชีวิตประจำวันก่อนที่บุคคลจะกระทำหรืองดเว้นกระทำการใด ก็ต้องดูว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำห้ามหรือกำชับให้กระทำโดยกำหนดโทษทางอาญาไว้หรือไม่ ซึ่งก็เป็นกรณีที่จะใช้กฎหมายแก่ข้อเท็จจริงอีกกรณีหนึ่ง
  ตัวอย่างเช่น ในเวลาที่ผู้พิพากษาจะตัดสินความ ผู้พิพากษาก็จะต้องพิจารณาว่า ข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นที่โต้เถียงกันมีอยู่อย่างไร ต่อเมื่อฟังข้อเท็จจริงได้แน่นอนแล้วจึงจะพยายามหาตัวบทกฎหมายเพื่อหยิบยกขึ้นมาปรับแก่คดีนั้น ๆ ในกรณีที่บทกฎหมายที่จะนำมาปรับแก่คดีมีความหมายกำกวม มีความหมายหลายทางหรือมีความหมายแน่นอน ผู้พิพากษาก็ต้องตีความ คือ หยั่งทราบเสียก่อนว่าบทกฎหมายมีความหมายอย่างไร เมือทราบความหมายจากการตีความแล้ว จึงนำบทกฎหมายนั้นไปปรับแก่คดีได้ และเมื่อปรับบทกฎหมายเข้ากับข้อเท็จจริงแล้ว ผู้พิพากษาจึงจะทราบได้ว่า ศาลควรจะตัดสินอย่างไร
          วิธีคิดเช่นเดียวกันนี้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการก็จะต้องนำมาใช้ในการสอบสวนหรือฟ้องร้องคดีด้วย คือ พยายามให้ได้ข้อเท็จจริงแน่นอนเสียก่อน แล้วจึงนำกฎหมายมาปรับแก่ข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งบางทีอาจต้องตีความเสียก่อนเช่นเดียวกัน อนึ่ง ในการที่เจ้าพนักงานอื่นจะใช้กฎหมายก็ดี ในการที่ราษฎรจะใช้กฎหมายปรับแก่ข้อเท็จจริงก็ดี มีหลักอย่างเดียวกัน กล่าวคือ จะต้องมีข้อเท็จจริงแน่นอนเสียก่อนแล้วจึงจะใช้กฎหมายได้ โดยเหตุนี้การใช้กฎหมายแก่ข้อเท็จจริง จึงมีหลักเกณฑ์การใช้กฎหมายทั่ว ๆ ไป ไม่ว่าศาล เจ้าพนักงานหรือราษฎรจะเป็นผู้ใช้ดังต่อไปนี้
          เป็นเรื่องอะไร
          มีหลักเกณฑ์ของกฎหมายสำหรับเรื่องนั้นอย่างไร
          ข้อเท็จจริงเข้ากับหลักเกณฑ์ของกฎหมายนั้น ๆ หรือไม่
          ถ้าข้อเท็จจริงเข้าหลักเกณฑ์ของกฎหมายแล้วได้ผลอย่างไร

1 เมื่อมีการกระทำหรือเหตุการณ์ที่จะต้องวินิจฉัยเกิดขึ้น ผู้วินิจฉัยก็จะต้องคิดว่า การกระทำหรือเหตุการณ์นั้น ๆ อาจเป็นเรื่องอะไรได้บ้างเช่น ในทางแพ่งอาจเป็นเพียงสัญญาหรือละเมิด ในทางอาญาเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์ เป็นตัวอย่าง
2.วินิจฉัยว่าการกระทำหรือเหตุการณ์ อาจเป็นเรื่องอะไรได้บ้าง แล้วก็พิจารณาว่ากฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับเรื่องนั้น ๆ ไว้อย่างไรในการนี้ถ้าจำเป็นก็ต้องตีความเสียก่อน เช่น
          ก.ถ้าเป็นเรื่องสัญญา ป.พ.พ.ได้วางหลักเกณฑ์ไว้ว่า จะต้องมี (๑) คำเสนอ และ (๒) คำสนองสอดคล้องต้องกัน จึงจะเป็นสัญญา
          ข.ถ้าเป็นเรื่องลักทรัพย์ ป.อาญาวางหลักไว้ว่า ต้องมี (๑) การเอาไป (๒) ทรัพย์ของผู้อื่น (๓) เจตนา (๔) โดยทุจริต
3.เมื่อทราบหลักเกณฑ์ของกฎหมายในเรื่องนั้น ๆ แล้ว เช่น ในเรื่องสัญญา หรือเรื่องลักทรัพย์ ก็ต้องลงมือนำข้อเท็จจริงไปปรับกับหลักเกณฑ์ของกฎหมายดังกล่าวนั้น เช่นในเรืองสัญญา ก็ดูว่าข้อเท็จจริงที่ฟังได้มีคำเสนอและคำสนองครบถ้วน อันเป็นองค์ประกอบของ สัญญาหรือไม่ ในเรื่องลักทรัพย์ก็ดูว่ามีการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น มีเจตนาและโดยทุจิตหรือไม่ อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์
4.เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ 3 เสร็จแล้ว เราก็ทราบผลลัพธ์แล้ว แต่วาข้อเท็จจริงจะปรับเข้าได้กับหลักเกณฑ์ของกฎหมายในเรื่องนั้น ๆ หรือไม่ถ้าปรับข้อเท็จจริงเข้าได้กับหลักเกณฑ์ของกฎหมาย เราก็ได้คำตอบที่ต้องการ เช่น ในกรณีสัญญา ถ้าปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีคำเสนอและคำสนอง และคำเสนอคำสนองสอดคล้องต้องกัน องค์ประกอบของสัญญาก็ครบบริบูรณ์ สัญญาก็เกิดขึ้น ในเรื่องลักทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน ถ้าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นการเอาไป และทรัพย์ที่เอาไปก็เป็นทรัพย์ของผู้อื่น ทั้งผู้ต้องหามีเจตนาและกระทำการโดยทุจริต องค์ประกอบของ ลักทรัพย์ก็ครบบริบูรณ์ ความผิดฐานลักทรัพย์ก็เกิดขึ้น หลักเกณฑ์การใช้กฎหมายแก่ข้อเท็จจริงนี้ ย่อมใช้ได้ในกรณีการตอบคำถามข้อสอบไล่ด้วย เมื่อคำถามได้ตั้งเป็นอุทาหรณ์ให้นักศึกษาตอบ
          การที่บุคคลสามารถใช้กฎหมายแก่ข้อเท็จจริงให้ถูกต้อง ก็ต้องศึกษาหลักเกณฑ์ของกฎหมายจนมีความรู้ดีเสียก่อน ฉะนั้น การจำหลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบของกฎหมาย จึงเป็นข้อสำคัญของนักกฎหมาย ถ้าไม่สามารถจำหลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบของกฎหมายได้ หรือจำหลักเกณฑ์ได้แต่ไม่เข้าใจ ก็ย่อมใช้กฎหมายแก่ข้อเท็จจริงไม่ได้โดยถูกต้อง และวิธีแก้ปัญหาที่ดีมีอยู่วิธีเดียว คือ คิดจากเหตุมาหาผลจากเกณฑ์ 4 ข้อที่ว่า 1. เป็นเรื่องอะไร . มีหลักเกณฑ์ของกฎหมายสำหรับเรื่องนั้นอย่างไร 3. เอาข้อเท็จจริงมาปรับหลักเกณฑ์ 4. ตอบผลลัพธ์ตามแต่จะเข้าเกณฑ์หรือไม่ ไม่มีวิธีแก้ปัญหาใดที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าแก้ปัญหาตามความรู้สึกของตนเองหรือตามที่ตนเห็นว่าเป็นความยุติธรรม ก็เป็นของแน่ว่าจะไม่มีทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้องได้ ถ้าเผอิญผลลัพธ์จะถูกก็เป็นการถูกโดยบังเอิญ ไม่ใช่ถูกโดยมีเหตุผลประกอบ 
คำถามท้ายบท
1.หลักเกณฑ์การใช้กฎหมายแก่ข้อเท็จจริงมีอย่างไร
2.ในการที่ท่านจะใช้กฎหมายแก่ข้อเท็จจริงโดยถูกต้องนั้น ท่านจะต้องปรับปรุงตัวท่านอย่างไร

หมายเหตุ เอกสารคำบรรยายนี้ส่วนใหญ่เก็บความจากหนังสือ สารานุกรมกฎหมายแพ่งพาณิชย์ กฎหมายแพ่ง โดย ศาสตราจารย์ ดร. วิษณุ เครืองาม และหนังสือความรู้เบื้องตนกฎหมายทั่วไป โดยศาสตราจารย์ ดร. หยุด แสงอุทัย



[1] that involves relationships between individuals, such as the law of contracts or torts (as it is called in the common law), and the law of obligations (as it is called in civil legal systems).  In general terms, private law involves interactions between private citizens, whereas public law involves interrelations between the state and the general population.  
[2] Western law refers to the legal traditions of Western culture. Western culture has an idea of the importance of law which has its roots in both Roman law and canon law. 
[3] Jurisprudence is the science, study, and theory of law. It includes principles behind law that make the law.