ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยมีความหมายแค่ไหน?

ศาลฎีกาได้พิพากษาวางหลักในกรณีดังกล่าวไว้อย่างชัดเจนตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๐๔๒/๒๕๔๓

คดีแดงที่  3042/2543
พนักงานอัยการจังหวัดลพบุรี โจทก์
นางลำเภย ศรีสม จำเลย


ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๗

บทบัญญัติตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๗ มีความหมายว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวง ศาลมีอำนาจใช้ ดุลพินิจวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพียงใดหรือไม่ พยานหลักฐานใดขัดต่อเหตุผลไม่น่ารับฟัง และในกรณีที่ศาลจะพิพากษาลงโทษบุคคลใด พยานหลักฐานในคดีนั้นต้องมั่นคงแน่นหนา และมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง หากพยานหลักฐานในสำนวนมีข้อพิรุธน่าระแวงสงสัย ไม่มั่นคงพอที่จะรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย โดยพิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าหากพยานหลักฐานของโจทก์มีข้อแตกต่างขัดแย้งกันเอง หรือมีข้อน่าสงสัยบางประการแล้ว ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสียทุกกรณีไป ข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยอันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์นั้นต้องเป็นข้อบกพร่องของพยานหลักฐานโจทก์ที่ทำให้น้ำหนักคำพยานเลื่อนลอยไม่มั่นคงพอ ที่จะรับฟังเป็นความจริงได้โดยสนิทใจ ส่วนข้อแตกต่างขัดแย้งกันในกรณีอื่นที่ไม่มีผลต่อการรับฟังข้อเท็จจริงตาม คำพยานหาเป็นข้อพิรุธอันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์ไม่ ข้อแตกต่างผิดเพี้ยนกันในรายละเอียดปลีกย่อยอันเป็น พลความหรือข้อพิรุธที่ไม่เกี่ยวกับการรับฟังข้อเท็จจริงที่มุ่งจะพิสูจน์ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ย่อมไม่เป็นเหตุทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานของโจทก์

…………………..……………………………………………………………..

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๔, , , ๑๑, ๑๓ ทวิ, ๖๒, ๘๙, ๑๐๖ และ นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๖๘๖/๒๕๓๙ ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นเหตุบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๓ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๘๙ ลงโทษจำคุก ๕ ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๓ ปี ๔ เดือน คำขอให้นับโทษต่อให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขาย และขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับตามฟ้องจริงหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๒๗ บัญญัติว่า
"ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงอย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย"
บทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นมีความหมายว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวง ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพียงใดหรือไม่ พยานหลักฐานใดขัดต่อเหตุผลไม่น่ารับฟัง และในกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษบุคคลใด พยานหลักฐานในคดีนั้นต้องมั่นคงแน่นหนา และมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจาก ข้อสงสัยว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง หากพยานหลักฐานในสำนวนนี้มีข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยไม่มั่นคงพอที่จะรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย โดยพิพากษา ยกฟ้องโจทก์ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าหากพยานหลักฐานของโจทก์มีข้อแตกต่างขัดแย้งกันเอง หรือมีข้อน่าสงสัย บางประการแล้ว ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียทุกกรณีไป ข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยอันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ต้องเป็นข้อบกพร่องของพยานหลักฐานโจทก์ที่ทำให้น้ำหนักคำพยานเลื่อนลอยไม่มั่นคงพอที่จะรับฟัง เป็นความจริงได้โดยสนิทใจ ส่วนข้อแตกต่างขัดแย้งกันในกรณีอื่นที่ไม่มีผลต่อการรับฟังข้อเท็จจริงตามคำพยาน หาเป็นข้อพิรุธอันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์ไม่ เป็นต้นว่า ข้อแตกต่างผิดเพี้ยนกันในรายละเอียดปลีกย่อยอันเป็นพลความหรือข้อพิรุธที่ไม่เกี่ยวกับการรับฟังข้อเท็จจริงที่มุ่งจะพิสูจน์ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ย่อมไม่เป็นเหตุทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานของโจทก์ สำหรับคดีนี้โจทก์มีพยานสำคัญคือนายบำรุง สุขสิงห์ กับนายสุรศักดิ์ วิศิษฐ์สรศักดิ์ เจ้าพนักงานสังกัดสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นผู้จับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความตรงกันว่า ในวันเกิดเหตุพยานกับพวกร่วมกันวางแผนจับกุมจำเลยโดยใช้ให้สายลับไปล่อซื้อยาเสพติดให้โทษ จากจำเลย ได้นัดหมายและซักซ้อมกันให้นายสุรศักดิ์ร่วมทางไปกับสายลับ ส่วนนายปรุงคอยอยู่ที่รถยนต์ซึ่งจอดรถอยู่ห่างจากบ้านของจำเลยประมาณ ๒๐๐ เมตร สำหรับเหตุการณ์ต่อจากนั้นนายสุรศักดิ์เบิกความยืนยันว่า เห็นจำเลย ขายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่สายลับในราคา ๑๔๐ บาท หลังจากนั้นสายลับกับนายสุรศักดิ์กลับไปหานายปรุง สายลับมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่นายปรุงแล้วแยกทางกลับไป พยานโจทก์ทั้งสองเข้าตรวจค้นตัวจำเลย ก็พบธนบัตรของกลางที่สายลับนำไปซื้อยาเสพติดให้โทษอยู่ที่จำเลยสมจริง ทั้งจำเลยยอมรับสารภาพต่อพยานโจทก์ทั้งสองว่า ได้เงินของกลางมาจากการขายเมทแอมเฟตามีน จำเลยยังได้เขียนคำรับสารภาพของตนเองไว้ด้วย ตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำรับสารภาพเอกสารหมาย ป.จ. ๔ และ ป.จ. ๕ (ศาลอาญา) ทนายจำเลยมิได้ตามประเด็นไปถามค้านพยานโจทก์เหล่านี้เพื่อซักฟอกพยานและพิสูจน์ความจริงตามกระบวนความ คำเบิกความของ นายปรุงกับนายสุรศักดิ์ จึงไม่ปรากฏข้อพิรุธอันจะเป็นเหตุให้ทำลายน้ำหนักคำเบิกความของบุคคลทั้งสองแต่ประการใด ที่จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความว่า ก่อนจับกุมจำเลยพยานได้ขออนุมัติต่อนายราชันย์ วรรศิริ ซึ่งเป็น ผู้บังคับบัญชาเพื่อใช้เงินของกลางล่อซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลยและได้รับอนุมัติในวันเดียวกัน แต่ลายมือชื่อของนายราชันย์ในช่องผู้อนุมัติในเอกสารหมาย ป.จ. ๑ (ศาลอาญา) แตกต่างไปจากลายมือชื่อที่นายราชันย์เซ็นในบันทึก คำให้การพยาน นอกจากนี้วันเดือนปีใต้ลายมือชื่อผู้อนุมัติในเอกสารหมาย ป.จ. ๑ (ศาลอาญา) ก็เป็นคนละปีกับวันเกิดเหตุ ทำให้น่าสงสัยว่านายปรุงน่าจะมิได้ขออนุมัตินายราชันย์ก่อนดำเนินการจับกุมจำเลยนั้น เห็นว่านายปรุงจะได้ทำการ ล่อซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลยโดยพลการ หรือได้รับความเห็นชอบจากนายราชันย์ก่อนก็ไม่มีผลทำให้น้ำหนัก คำเบิกความของนายปรุงกับนายสุรศักดิ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยเปลี่ยนแปลงไป
ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า หากจำเลยเป็นผู้ขายยาเสพติดให้โทษจริง จำเลยย่อมจะต้องระมัดระวังตัวไม่ขาย ยาเสพติดให้โทษแก่สายลับต่อหน้านายสุรศักดิ์ซึ่งเป็นคนแปลกหน้านั้น เห็นว่า ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษแต่ละรายย่อมมีนิสัยและความประพฤติตลอดจนความระมัดระวังตนแตกต่างกันไป จะถือเป็นหลักเกณฑ์ตายตัวว่า ผู้กระทำความผิดประเภทนี้ย่อมไม่ขายยาเสพติดให้โทษแก่คนแปลกหน้าไม่ได้ เหตุผลที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกาไม่อาจหักล้างคำเบิกความของพยานโจทก์ได้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พยานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้าง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขาย และขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน .

(กำพล ภู่สุดแสวง - วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ - สุรชาติ บุญศิริพันธ์ )

ศาลจังหวัดลพบุรี - นายสรารักษ์ สุวรรณเสรี
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 - นายวิกร อังคณาวิศัลย์

เมื่อผู้มีชื่อใน น.ส.๓ ไม่มีสิทธิครอบครอง เจ้าของที่แท้จริงจะร้องขอให้จดทะเบียนโอนให้ตนได้หรือไม่?

คำตอบคือไม่ได้ เพราะเขาไม่มีสิทธิครอบครองที่จะโอนให้ใครได้ ดูคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๙/๒๕๔๓

คดีแดงที่  69/2543
นางนุ่น ภูถนนนอก ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิต โจทก์
นายจันทา วิลาวัน โดยนายสนอง วิลาวัน ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน จำเลย


ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕), ๒๔๖, ๒๔๗
ป. ที่ดิน มาตรา ๖๑

จำเลยมิใช่ผู้มิสิทธิครอบครองที่พิพาท ฉะนั้น การออก น.ส.๓ ก. เพื่อแสดงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองและ ได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงเป็นการออก น.ส.๓ ก. ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง โจทก์ชอบที่จะดำเนินการออก น.ส.๓ ก. สำหรับที่พิพาทตามสิทธิของโจทก์ จะบังคับให้จำเลยซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโอนสิทธิครอบครอง ให้แก่โจทก์หาได้ไม่ และแม้โจทก์จะมิได้ขอให้เพิกถอน น.ส.๓ ก. ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งเพิกถอน น.ส.๓ ก. ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖ และ ๒๔๗

…………………..……………………………………………………………..

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙ ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น เป็นทรัพย์มรดกของนายสวน ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นชื่อของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินอีกต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จำเลยถึงแก่กรรมโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายสนอง วิลาวัน ทายาทของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับว่า ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิตให้จำเลย ดำเนินการโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน หากไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม ๗,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นบุตร ส่วนจำเลยเป็นบุตรเขยของนายสวน ชัยชิตหรือไชยชิต กับนางตุ่น ไชยชิต นายสวนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๒๗ โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายสวนตามคำสั่ง ศาลชั้นต้น ลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙
คดีมีปัญหาว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ บังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า จำเลยมิใช่ ผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ฉะนั้น การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙ เพื่อแสดงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองและได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง โจทก์ชอบที่จะดำเนินการ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทตามสิทธิของโจทก์ จะบังคับให้จำเลยซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโอนสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์หาได้ไม่ และแม้โจทก์จะมิได้ ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบ เรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖ และมาตรา ๒๔๗ จึงเห็นสมควรให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยเสีย
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่บังคับให้จำเลยดำเนินการโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวน ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๔๖๐๙ เล่ม ๔๗ ก. หน้า ๙ เลขที่ดิน ๑๕๗ ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ของจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ .

(สมศักดิ์ เนตรมัย - กนก พรรณรักษา - ปรีดี รุ่งวิสัย )

ศาลจังหวัดขอนแก่น - นายสัมพันธ์ บุนนาค
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายสมพล กาญจนมา

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความเห็นของศาลในการวินิจฉัยชี้ขาดใช่จะถูกต้องเป็นธรรมเสมอไป?

บางกรณีศาลได้วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น และบางกรณีไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งมิใช่การกระทำที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด ให้ดูคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๕๐/๒๕๑๐ และฎีกาที่ ๖๓๖๔/๒๕๔๗


คดีแดงที่  550/2510
นายพุฒ ธรรมเพชร ผู้รับมอบอำนาจจากพระอธิการหมุน ศิริวรรณโน เจ้าอาวาสวัดนาท่อม จ.
นายพร้อม ขุนเจียม ล.


ป.วิ.พ. มาตรา 142
พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 33, 34
ป.พ.พ. มาตรา 1304

ฟ้องโจทก์บรรยายว่าวัดโจทก์มีที่ดินแปลงหนึ่งใช้เป็นป่าช้าสำหรับเผาและฝังศพราษฎร เท่ากับโจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของวัด การที่ศาลไปฟังว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
ที่ดินอันเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้าซึ่งเป็นของวัด แม้จะตั้งอยู่ห่างจากตัววัด ก็จัดเข้าอยู่ในประเภทที่ธรณีสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 33 (2)

…………………..……………………………………………………………..

โจทก์ฟ้องว่า วัดนาท่อมมีที่ดิน ๑ แปลงใช้เป็นป่าช้าฝังและเผาศพของราษฎร จำเลยได้เข้าแผ้วถางทำเป็นนาและไม่ยอมออก ขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นที่ป่าช้าสาธารณะของวัดนาท่อมและให้ขับไล่จำเลยออกไป
จำเลยให้การว่าที่ดินพาท จำเลยได้รับมรดกจากบิดา และได้ครอบครองมาประมาณ ๑๙ ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นป่าช้าของโจทก์ครอบครอง ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้านากวดอันเป็นที่สาธารณะ จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้ไม่ได้ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้านากวด แต่ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดเจนว่าวัดนาท่อมโจทก์มีที่ดินแปลงหนึ่งใช้เป็นป่าช้าสำหรับเผาและฝังศพราษฎรชื่อว่าป่าช้านากวด ก็เมื่อโจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของวัด ศาลกลับไปฟังว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น วัดเป็นนิติบุคคลก็ย่อมเป็นเจ้าของที่ดินได้ และเห็นว่าป่าช้าที่พิพาท จัดอยู่ในประเภทที่กรณีสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๓ อนุมาตรา ๒ ซึ่งแม้จำเลยจะได้ครอบครองมาช้านานเพียงใด จำเลยก็หามีสิทธิในที่พิพาทไม่ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๔
พิพากษายืน.

(ทองคำ จารุเหติ - ยง เหลืองรังษี - นิคม ชัยอาญา )

ศาลจังหวัดพัทลุง - นายเอก ณ นคร
ศาลอุทธรณ์ - นายดวง ดีวาจิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6364/2547
พนักงานอัยการจังหวัดปัตตานี
     โจทก์
นายอุดม บุญวรรณโณ กับพวก
     จำเลย


ป.อ. มาตรา 157
ป.วิ.อ. มาตรา 192
          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยกับพวกโดยอ้างว่าจำเลยกับพวกรู้ว่าที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ได้ร่วมกันรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงในเอกสารการสอบสวนสิทธิอันเป็นความเท็จว่าที่ดินเห็นควรออก น.ส. 3 เพราะไม่มีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าที่ดินมีน้ำทะเลท่วมถึง ราษฎรใช้เพื่อประโยชน์ร่วมกันจับสัตว์น้ำ และยังไม่มีผู้ใดเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์มาก่อน ก็เป็นการยกข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนว่าที่ดินเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าที่ดินเป็นป่าชายเลนและสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษายกฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยต่อไปว่าที่ดินทั้งสามแปลงไม่มีการทำประโยชน์ แต่เพิ่งจะมีการทำประโยชน์ในปี 2519 ฟังว่าที่ดินไม่มีการครอบครองทำประโยชน์มาก่อน การรับรองในแบบการสอบสวนจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง จึงเป็นการพิพากษาลงโทษในข้อเท็จจริงซึ่งมิใช่การกระทำที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด เป็นการมิชอบ

________________________________


          โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายที่ดิน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตร่วมกันบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยจำเลยทั้งสองกับพวกรู้อยู่แล้วว่าที่ดินมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ร่วมกันรับรองเป็นหลักฐาน ซึ่งข้อเท็จจริงในเอกสารสอบสวนสิทธิดังกล่าวมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จ ทั้งนี้เพื่อนำเสนอนายอำเภอหนองจิกว่าเห็นควรออก น.ส.3 ให้ทั้งแปลงได้เพราะไม่มีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จนนายอำเภอหนองจิกหลงเชื่อว่าข้อความในเอกสารนั้นเป็นความจริง จึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามที่จำเลยทั้งสองกับพวกเสนอ การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เป็นเหตุให้กรมที่ดิน ประชาชน และ นายอาลี กับพวกราษฎรซึ่งใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 157, 83
          จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อ. มาตรา 91 จำคุกจำเลยทั้งสองกระทงละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 9 ปี
          จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
          โจทก์ฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อเท็จจริงที่ไม่ได้กล่าวในฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์เน้นหนักเกี่ยวกับสภาพของที่ดินซึ่งเป็น ที่ว่างเปล่า มีน้ำท่วมถึง และประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันในการจับสัตว์น้ำและเลี้ยงสัตว์ ซึ่งโดยสภาพเช่นนี้ย่อมไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ เพราะมีลักษณะเป็นที่สาธารณะ ต้องห้ามมิให้ออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน และยังเป็นการผิดเงื่อนไขตามประกาศกระทรวงมหาดไทยในสิทธิและการทำประโยชน์ในที่ดินเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ จำเลยทั้งสองกับพวกรู้อยู่แล้วว่าที่ดินมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ร่วมกันรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงในเอกสารการสอบสวนสิทธิอันเป็นความเท็จตามที่นายเจริญ นายมนูญ และนายประเสริฐศักดิ์อ้าง เพื่อนำเสนอนายอำเภอหนองจิกว่าเห็นควรออก น.ส.3 ให้เพราะไม่มีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่โจทก์บรรยายฟ้องในตอนต้นถึงหลักเกณฑ์การพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์เพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ว่า บุคคลที่จะขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะต้องเป็นผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์อยู่ก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดแห่งการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองกับพวก ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดแต่ละกรรมว่าความจริงที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวมีน้ำทะเลท่วมถึง ราษฎรใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อประโยชน์ร่วมกันจับสัตว์น้ำ และยังไม่มีผู้ใดเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์มาก่อน ก็เป็นการยกข้อเท็จจริงเพื่อเป็นเหตุผลสนับสนุนว่าที่ดินทั้งสามแปลงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าที่ดินทั้งสามแปลงเป็นป่าชายเลนและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษายกฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยต่อไปว่า ที่ดินทั้งสามแปลงไม่มีการทำประโยชน์ แต่เพิ่งมีการทำประโยชน์ในปี 2519 เพียงบางส่วน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่เกิดเหตุไม่ได้มีการครอบครองทำประโยชน์มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ การรับรองในแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสามแปลงของจำเลยทั้งสองเป็นการละเว้นและปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องมานั้น จึงเป็นการพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อเท็จจริงซึ่งมิใช่การกระทำที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิด ส่วนฎีกาของโจทก์ข้ออื่นไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นฎีกาในข้อไม่เป็นสาระ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว
          พิพากษายืน.
  
( สมศักดิ์ เนตรมัย - สุภิญโญ ชยารักษ์ - ประทีป ปิติสันต์ )

ศาลจังหวัดปัตตานี - นายกิตติกร กิตติพานประยูร
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 - นายขวัญชัย ปิ่นรอด

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เนื้อความใน ส.ค.๑ ระบุข้อความอย่างหนึ่ง จะนำสืบเป็นอย่างอื่นเพื่อให้ตรงกับความเป็นจริงได้หรือไม่?

การที่จะฟังว่าที่ดินที่ได้มีการแจ้งการครอบครองมีความถูกต้องแท้จริงเป็นอย่างไร มิได้มีกฎหมายบังคับว่าจะต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ฉะนั้น จึงนำพยานบุคคลมาสืบได้ ดูฎีกา 708/2509...


คดีแดงที่  708/2509
จังหวัดพังงา และผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา โดยนายชู สุคนธมัต ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดและในฐานะผู้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จ.
นายอาณัติ แสงสวัสดิ์ จ.ล
นายอำเภอตะกั่วทุ่ง โดยนายบุญฤกษ์ ปิยกาญจนะ นายอำเภอตะกั่วทุ่ง ผู้ร้องสอด



พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479
พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 5
ป.วิ.พ.มาตรา 94, 161



การที่จะฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองอยู่ตรงไหน มิได้มีกฎหมายบัญญัติบังคับว่าต้องมีพยานเอกสารมาแสดง กรณีจึงไม่ต้องห้ามในการที่จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองไว้นั้นเป็นที่ดินตรงไหน

เรื่องจะกำหนดให้ฝ่ายใดต้องเสียค่าทนายความให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเท่าใดนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจกำหนดให้เป็นเรื่อง ๆ ไป แล้วแต่รูปคดี มิใช่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์ แล้วศาลจะต้องกำหนดให้จำเลยเสียค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์เสมอไป

ที่ดินรกร้างว่างเปล่า จำเลยเพิ่งเข้าครอบครองภายหลังวันประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการเข้าครอบครองโดยมิชอบ ไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองขึ้นต่อสู้กับรัฐได้

แม้จำเลยจะได้ครอบครองที่รกร้างว่างเปล่าตลอดมา 10 ปีเศษแล้ว แต่เมื่อจำเลยมิได้แจ้งการครอบครองภายในเวลาตามที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ ต้องถือว่าจำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว รัฐมีอำนาจจัดที่ดินนั้นได้.

(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2509 เป็นการประชุมเพื่อหาคณะ)



…………………..……………………………………………………………..



คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้าไปขัดขวางเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว กับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยในที่ดินหรือออกค่าใช้จ่ายในการทำลายให้แก่โจทก์

จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทมิใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นที่ดินคนละแปลงกับที่โจทก์ฟ้อง จำเลยได้รับมรดกที่พิพาทและครอบครองเป็นเจ้าของมากว่า ๑๐ ปีแล้ว โจทก์ฟ้องซ้ำและฟ้องเคลือบคลุม

นายอำเภอตะกั่วทุ่งได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และไม่เป็นฟ้องซ้ำ และที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่นอกจากพื้นที่ภายในเส้นสีม่วงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิครอบครอง ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปขัดขวางเกี่ยวข้อง และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ทำไว้ หรือออกค่าใช้จ่ายในการทำลายให้แก่โจทก์

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ดินภายในเส้นสีม่วงเป็นที่ที่จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์อยู่โดยชอบด้วยกฎหมายก่อนวันใช้พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๔๗๙ ส่วนที่ดินนอกเส้นสีม่วงเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า จำเลยไม่ได้แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ภายในระยะเวลาที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๕ กำหนดไว้ จึงถือว่าจำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดิน รัฐมีอำนาจจัดที่ดินดังกล่าวได้ จำเลยไม่อาจเข้ายึดถือครอบครอง ก่นสร้าง หรือเผาป่า อันเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายที่ดินได้ พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยจะสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขว่าที่พิพาทภายในเส้นสีม่วงเป็นที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองไว้มิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ นั้น การที่จะพิจารณาฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองอยู่ตรงไหนมิได้มีกฎหมายบัญญัติบังคับว่าต้องมีพยานเอกสารมาแสดง กรณีจึงไม่ต้องห้ามในการที่จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองไว้นั้นเป็นที่ดินตรงไหน และฟังว่าที่ที่จำเลยนำสืบเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่พิพาทภายในเส้นสีม่วงนั่นเอง

ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้แก่โจทก์ยังไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่าในเรื่องจะกำหนดให้ฝ่ายใดต้องเสียค่าทนายความให้อีกฝ่ายหนึ่งเท่าใดนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจกำหนดให้เป็นเรื่อง ๆ ไป แล้วแต่รูปคดี มิใช่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าทนายอย่างสูงแก่โจทก์ แล้วศาลจะต้องกำหนดให้จำเลยเสียค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์เสมอไป เท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้นั้นเหมาะสมกับรูปคดีแล้ว

ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ที่จำเลยครอบครองไว้นั้นกินถึงที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาททั้งหมดนั้น เห็นว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินภายในเส้นสีม่วงซึ่งเป็นที่มรดกของจำเลยเท่านั้น ส่วนที่พิพาทภายในเส้นสีแดงเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยเพิ่งเข้าครอบครองภายหลังวันประกาศใช้พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๔๗๙ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ จึงไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองขึ้นต่อสู้กับรัฐได้ หรือถึงจำเลยจะได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมา แต่จำเลยก็มิได้แจ้งการครอบครองภายในกำหนดเวลาตามที่พระราขบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๕ กำหนดไว้ จึงต้องถือว่าจำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว รัฐมีอำนาจจัดที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายที่ดินได้

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์จำเลย.



(มณี ชุติวงศ์, อรรถไพศาลศรุดี, วงษ์ วีระพงศ์ )



ศาลจังหวัดพังงา - นายบัณฑิต พรหมบุญญา

ศาลอุทธรณ์ - นายไฉน บุญยก

ศาลเผลอพิพากษาสั่งให้เจ้าหน้าที่ศาลไปรังวัดแบ่งแยกและพิพากษาชี้ขาดให้ที่ดินนั้นเป็นของโจทก์....ได้หรือไม่?

คำตอบคือ ไม่ได้.... เพราะหากต้องการรังวัดแบ่งแยกที่ดินต้องดำเนินการตามวิธีการที่กฎหมายที่ดินกำหนด ดูฎีกาที่ 495/2509


คดีแดงที่  495/2509
นางตั้ง แซ่อุ๋ย ที่ 1 นางทัศนีย์ อันติมานนท์ ที่ 2 จ.
นางเป๊กกั้วหรือบังอร คณีกุล ที่1 นางต่วน ถาวร ที่ 2 จ.ล.



ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๗๙
ป.พ.พ.มาตรา ๗๙๘
ป.วิ.พ.มาตรา ๙๔



โจทก์ฟ้องเรียกเอาประโยชน์ที่อ้างว่าตัวแทนได้รับไว้จากการที่โจทก์มอบหมายให้ไปทำการแทน ดังนั้น ถึงการตั้งตัวแทนนั้นจะไม่ได้ทำหลักฐานกันไว้เป็นหนังสือ โจทก์ก็ย่อมฟ้องได้ ไม่ตกเป็นโมฆะ (อ้างฎีกาที่ ๖๔๐/๒๔๘๙ และ ๔๑๘/๒๕๐๑)

เอกสารมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ โจทก์ก็นำสืบได้ว่าที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของที่พิพาทนั้นได้กระทำในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ หาใช่นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารไม่

(อ้างฎีกาที่ ๖๔๐/๒๔๘๙ และ ๑๒๙๐/๒๕๐๑)

ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๗๙ บัญญัติว่า เมื่อผู้มีสิทธิในที่ดินซึ่งมีโฉนดที่ดินแล้ว ประสงค์จะแบ่งแยกที่ดินเป็นบางส่วน ต้องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายนั้น และพนักงานอื่นซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายนั้นไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดิน เมื่อได้รังวัดแบ่งแยกเสร็จแล้ว ถ้าจะต้องจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมก็ให้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเสียก่อน แล้วให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินฉบับใหม่ให้ ดังนั้น การที่คู่ความชี้เขตให้พนักงานศาลทำแผนที่แบ่งเขตที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ และศาลพิพากษาให้เป็นไปตามนั้น จึงไม่ชอบ ชอบที่จะให้ถอนชื่อจำเลยออกและใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้มีชื่อในโฉนด



…………………..……………………………………………………………..


โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้มอบเงินของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนไปทำการซื้อที่ดินแทนโจทก์ เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกโฉนดใส่ชื่อจำเลยทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ตลอดมา ต่อมาโจทก์ประสงค์จะปลูกตึกในที่ดินของโจทก์ ได้แจ้งในจำเลยจัดการโอนที่ดินเป็นของโจทก์ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติ จึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ได้มอบให้จำเลยซื้อทรัพย์แทนโจทก์ จำเลยที่ ๒ ซื้อทรัพย์พิพาทจากผู้มีชื่อและใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ กับนางนุ้ย แซ่เตียว ลงในใบไต่สวนร่วมกับจำเลยที่ ๒ โจทก์อ้างว่าให้จำเลยเป็นตัวแทนซื้อทรัพย์พิพาทไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือย่อมเป็นโมฆะ ใช่ไม่ได้ตามกฎหมาย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยเป็นตัวแทนซื้อทรัพย์พิพาทแทนโจทก์แม้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือก็ฟ้องได้ ให้จำเลยทั้งสองจัดการโอนโฉนดให้แก่โจทก์ที่ ๒

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ฟ้องว่าให้จำเลยซื้อที่ดินแทนตน แต่ไม่มีหลักฐานการตั้งตัวแทนเป็นหนังสือ ย่อมเป็นโมฆะนั้น กรณีนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกเอาประโยชน์ที่อ้างว่าตัวแทนได้รับไว้จากการที่โจทก์มอบหมายให้ไปทำการแทน ดังนั้น ถึงการนั้นจะไม่ได้ทำหลักฐานกันไว้เป็นหนังสือ โจทก์ก็ย่อมฟ้องได้ ไม่ตกเป็นโมฆะ ส่วนที่ว่าเมื่อตามเอกสารมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของโจทก์จะนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นประการอื่นไม่ได้นั้น โจทก์นำสืบได้ว่าที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของที่พิพาทนั้น ได้กระทำในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ หาใช่นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารไม่ พยานโจทก์มีหลักฐานมั่นคงเชื่อได้ว่าโจทก์ได้มอบให้จำเลยเป็นตัวแทนซื้อที่ดินรายนี้ส่วนหนึ่งไว้ให้แก่โจทก์ แต่เนื่องจากที่ดินแปลงนี้มีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมกันอยู่ ๓ คน การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้พนักงานศาลไปทำแผนที่แบ่งเขตที่ดินตามโฉนดแล้วชี้ขาดว่าที่วิวาทหมายเส้นสีแดงเป็นของโจทก์นั้น ยังไม่ถูกต้อง เพราะตามประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติว่า เมื่อผู้มีสิทธิในที่ดินซึ่งมีโฉนดที่ดินแล้ว ประสงค์จะแบ่งแยกที่ดินเป็นบางส่วน ต้องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายนั้นและพนักงานอื่นซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายนั้น ไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดิน เมื่อได้รังวัดแบ่งแยกเสร็จแล้ว ถ้าจะต้องจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ก็ให้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเสียก่อน แล้วให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินฉบับใหม่ให้ ดังนั้น การที่คู่ความชี้เขตให้พนักงานศาลทำแผนที่แบ่งเขตที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ และศาลพิพากษาให้เป็นไปตามนั้นจึงไม่ชอบ

พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสองถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดที่ดิน แล้วใส่ชื่อโจทก์ที่ ๒ ถือกรรมสิทธิ์ต่อไป ยกฎีกาจำเลย



(เสนอ บุณยเกียรติ-เชื้อ คงคากุล-ยง เหลืองรังษี )



ศาลจังหวัดระนอง - นายสมบูรณ์ ฤกษ์สำราญ

ศาลอุทธรณ์ - นายใหญ่ ศาลยาชีวิน


การดำเนินการใดเกี่ยวกับที่ดินของท่านเพื่อให้มีผลตามกฎหมายที่ดินต้อง.....

ดำเนินการโดย "พนักงานเจ้าหน้าที่" ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เท่านั้น คนอื่น แม้แต่เจ้าหน้าที่ของศาลที่ทำตามคำสั่งศาลก็ไม่ได้ ดูฎีกาที่ 17/2506


คดีแดงที่  17/2506
นางสาวเล็ง มันทา จ.
นางน้อย เพ็งจันทร์ ที่ 1 นางสาวเพ็งจันทร์ ที่ 2 นายแสวง เพ็งจันทร์ ที่ 3 ล.



ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๑
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๑,๖๗



เจ้าพนักงานที่ดินผู้ไปทำแผนที่พิพาทตามคำสั่งศาลในคดีแพ่ง ไม่ใช่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๖๗ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพราะมิได้เป็นผู้ปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายที่ดินตามความในมาตรา ๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และไม่ใช่เจ้าพนักงานของศาลหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจปฏิบัติการตามหน้าที่เพื่อเป็นหลักฐานในการยึดอายัดหรือรักษาสิ่งใด ๆ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๑



…………………..……………………………………………………………..



โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓,๙๐,๑๔๑ และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๗,๑๐๙ โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้ง ๓ สมคบกันถอนหลักไม้แก่นอันเป็นเครื่องหมายเขตที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำไว้ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ตามคำสั่งศาลเพื่อเป็นหลักฐานในการทำแผนที่พิพาทในคดีแพ่งแดงที่ ๗๔/๒๕๐๐ ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานที่ดิน เป็นเหตุให้โจทก์และเจ้าพนักงานที่ดินเสียหายโดยรักษาหรือกำหนดหลักเขตตามแผนที่ไม่ได้

ศาชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๖๗ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๑ เป็นเรื่องซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติการไปตามหน้าที่ แต่คดีเรื่องนี้พนักงานที่ดินซึ่งไปทำแผนที่พิพาทเป็นแต่บุคคลที่ศาลขอร้องให้ไปทำแผนที่ในฐานผู้ชำนาญหรือมีความรู้ในทางนี้ มิใช่พนักงานเจ้าหน้าที่ดังที่กล่าวไว้ในมาตรา ๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวแล้วหมายถึง เจ้าพนักงานซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการตามประมวลกฎหมาย ฉะนั้น พนักงานที่ดินผู้ไปทำแผนที่พิพาท มิได้ปฏิบัติในหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน จึงไม่ใช่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๖๗ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และก็ไม่ใช่เจ้าพนักงานของศาลหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจปฏิบัติการตามหน้าที่เพื่อเป็นหลักฐานในการยึดอายัดหรือรักษาสิ่งใด ๆ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๑ การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นผิดตามฟ้อง พิพากษายืน



(สารกิจปรีชา - การุณย์นราทร - ห้วน ประชาบาล )



ศาลจังหวัดสมุทรสาคร - นายแสวง จินดานนท์

ศาลอุทธรณ์ - นายจวน เจียณัย

สืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงข้อความในพินัยกรรมได้หรือไม่?

ถ้าการแก้ไขเป็นการนำสืบเพื่อแสดงความไม่สมบูรณ์ของเอกสารนั้น ย่อมนำสืบได้...ดูฎีกาที่ 1358/2505


คดีแดงที่  1358/2505
นายเฮือง คำใส หรือเฮิง คำใส จ.
นางเกี๋ยง คำใส ที่ 1 นางพาณี เสวนามิตร ที่ 2 นายเสน่ห์ คำใส ที่ 3 จ.ล



ป.วิ.พ. มาตรา ๙๔
ป.พ.พ. มาตรา ๑๖๑๒, ๑๖๑๓, ๑๖๕๖, ๑๗๐๕,๑๗๑๐



พินัยกรรมตามแบบมาตรา ๑๖๕๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ซึ่งพยานทั้งสองนั้น ต้องลงลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้นจึงจะสมบูรณ์ จึงต้องฟังข้อเท็จจริง (ให้) ได้ (ความ) ว่า มีการกระทำถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด มิใช่เพียงแต่ฟังตามตัวหนังสือที่เขียนขึ้นไว้ พินัยกรรมที่มีบันทึกผู้รู้เห็นเป็นพยาน ๕ คน แต่คนหนึ่งในจำนวนนี้ไม่ได้ลงชื่อ คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างพยานที่ลงชื่อ ๔ คนนี้มาสืบว่า ๓ คนในจำนวนนี้เซ็นชื่อลับหลังผู้ทำพินัยกรรม คงมีคนเดียวที่ผู้ทำพินัยกรรมพิมพ์ลายนิ้วมือต่อหน้า ดังนี้ แม้จะเป็นการสืบพยานแก้ไขข้อความในเอกสารแต่ก็เป็นการนำสืบเพื่อแสดงความไม่สมบูรณ์ของเอกสารนั้น ย่อมนำสืบได้

ก. จำเลย กับ ฮ. บุตรของเจ้ามรดก ตกลงแบ่งมรดกกัน โดย ก. จำเลยตกลงแบ่งที่ดินหมายเลข ๔ ให้ ฮ. ฮ. ก็ตกลงแบ่งที่ดินหมายเลข ๕ ให้ ก. จำเลย และต่างทำเป็นหนังสือสละมรดกโดยต่างทำให้แก่กัน เมื่อปรากฏว่า ก. ไม่ใช่ทายาทของเจ้ามรดก เพราะเป็นแต่สะใภ้ไม่มีอำนาจแบ่งมรดกได้ ข้อตกลงนี้ก็ไม่สมบูรณ์ และหนังสือนี้เป็นแต่ข้อตกลงในการแบ่งทรัพย์มรดกเท่านั้น มิใช่เป็นการสละมรดกตามกฎหมาย เพราะยังมีข้อผูกพันจะต้องแบ่งมรดกบางส่วนตอบแทนให้ ฮ.ทายาทอื่นที่มิใช่คู่สัญญามีสิทธิจะอ้างข้อตกลงนี้ (หนังสือที่ ฮ.ทำ) เป็นประโยชน์แก่ตนไม่

พินัยกรรมที่ทำขึ้นผิดแบบตามมาตรา ๑๖๕๖ เป็นโมฆะตามมาตรา ๑๗๐๕ ไม่เป็นพินัยกรรมเสียแล้ว ความเสียเปล่านี้ผู้มีส่วนได้เสียจะกล่าวอ้างขึ้นก็ได้ หากต้องฟ้องขอให้เพิกถอนไม่ มาตรา ๑๗๑๐ ใช้เฉพาะเมื่อเป็นพินัยกรรมแล้วเท่านั้น



…………………..……………………………………………………………..



โจทก์ฟ้องว่า นายคำใหม่และนางอิ่งมีบุตร ๒ คน คือ นายส่างหมีและโจทก์ นายส่างหมีตายเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๘๖ แต่มีบุตร ๗ คน คือ จำเลยที่ ๒, ๓ กับผู้อื่นอีก ต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๑ นายคำใหม่ตาย ทรัพย์สินทั้งหมดตกอยู่กับนางยิ่งตลอดมา ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ นางอิ่งเจ้ามรดกตาย มีทรัพย์เป็นมรดกตามบัญชีท้ายฟ้อง จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ดูแลและอาศัยอยู่ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตกลงจะแบ่งมรดก และโจทก์ได้ขอรังวัดกับประกาศรับมรดก จำเลยที่ ๓ คัดค้านและอ้างว่ามีพินัยกรรมที่นางอิ่งทำไว้ โจทก์ดูแล้วปรากฏว่าพินัยกรรมมีพิรุธพยานไม่ได้เห็นผู้ทำพินัยกรรมพิมพ์ลายนิ้วมือ ทั้งจำเลยที่ ๒ ผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมเรียงเขียนเอง จึงเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษาแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ครึ่งหนึ่งและทำลายพินัยกรรม

จำเลยให้การว่า มรดกรายนี้มีพินัยกรรมโดยชอบ ที่โจทก์อ้างว่าขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๕๓ ก็คงเสียสิทธิไปเฉพาะตัวจำเลยที่ ๒ เท่านั้น หากโจทก์ถือว่าพินัยกรรมไม่ชอบก็ชอบที่จะฟ้องให้เพิกถอนภายในระยะเวลาที่กฏหมายกำหนด คดีขาดอายุความแล้วทั้งโจทก์ก็ได้เคยทำหนังสือสละสิทธิการรับมรดกให้จำเลยยึดถือไว้ด้วย และจำเลยยังให้การต่อสู้ในข้ออื่นอีก

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าพินัยกรรมเป็นโมฆะ ให้แบ่งทรัพย์มรดกอันดับ ๔ และ ๕ กับข้าวเปลือง ๗๐ ถังให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง

โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยแบ่งทรัพย์อันดับ ๓, , ๕ และ ๖ กับข้าวเปลือก ๗๐ ถังให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ กึ่งหนึ่ง

จำเลยทั้งสามฎีกาทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง

ในข้อกฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

๑. เรื่องพินัยกรรม จำเลยฎีกาว่าในเอกสารพินัยกรรมมีข้อความบันทึกว่าผู้เป็นพยานได้เห็นนางอิ่งพิมพ์ลายนิ้วมือด้วยตนเองต่อหน้าพบาน การที่ศาลรับฟังพยานบุคคลว่านางอิ่งไม่ได้ลงพิมพ์ลายนิ้วมือต่อหน้าพยานนั้น เป็นการสืบแก้ไขถ้อยคำของตนเองในบันทึก ศาลฎีกาเห็นว่ากฎหมายกำหนดพินัยกรรมไว้หลายแบบ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕๖ กำหนดไว้แบบหนึ่ง แบบนี้ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองนพร้อมกัน ซึ่งพยานสองคนนั้นต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้นจึงจะสมบูรณ์ ต้องฟังข้อเท็จจริงว่าได้มีการกระทำถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด มิใช่เพียงแต่ฟังตามตัวหนังสือที่เขียนขึ้นไว้ พินัยกรรมในคดีนี้มีบันทึกผู้รู้เห็นเป็นพยานถึง ๕ คน แต่คนหนึ่งไม่ได้ลงชื่อ โจทก์ได้อ้างพยานอีก ๔ คนที่ลงชื่อนั้นมาเบิกความ ได้ความว่าพยานที่เห็นนางอิ่งลงชื่อในพินัยกรรมมีคนเดียว ส่วนอีก ๓ คนนั้นเซ็นชื่อเป็นพยานลับหลัง การนำสืบเช่นนี้ แม้จะสืบพยานแก้ไขข้อความในเอกสารแต่เป็นการนำสืบเพื่อแสดงความไม่สมบูรณ์ของเอกสารนั้น ย่อมนำสืบได้

๒. เรื่องหนังสือสละมรดก ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ต่างตกลงแบ่งมรดกที่ดินกัน โดยจำเลยที่ ๑ ตกลงแบ่งที่ดินหมายเลข ๔ ให้โจทก์ โจทก์ก็ตกลงแบ่งที่ดินหมายเลข ๕ ให้จำเลยที่ ๑ เจ้าหน้าที่อำเภอแนะนำวิธีให้ทำเป็นหนังสือสละมรดกโดยต่างทำให้แก่กัน โจทก์จึงทำหนังสือสละสิทธิในกองมรดกให้แก่จำเลยที่ ๑ เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ทายาทของนางอิ่งเพราะเป็นแต่สะใภ้ ไม่มีอำนาจแบ่งมรดกได้ ข้อตกลงนี้ก็ไม่สมบูรณ์ หนังสือนี้เป็นแต่ข้อตกลงในการแบ่งทรัพย์มรดกเท่านั้น มิใช่เป็นการสละมรดกตามกฎหมาย เพราะยังมีข้อผูกพันจะต้องแบ่งมรดกบางส่วนตอบแทนให้โจทก์ ทายาทอื่นมิใช่คู่สัญญาหามีสิทธิจะอ้างข้อตกลงนี้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่

๓. เรื่องอายุความ จำเลยฎีกาว่า คดีขอเพิกถอนข้อกำหนดพินัยกรรมต้องฟ้องภายใน ๓ เดือน ว่าคดีขาดอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๑๐ ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องนี้เป็นพินัยกรรมที่ทำขึ้นผิดแบบเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๗๐๕ ไม่เป็นพินัยกรรมเสียแล้ว ความเสียเปล่านี้ ผู้มีส่วนได้เสียจะกล่าวอ้างขึ้นก็ได้ หาต้องฟ้องขอให้เพิกถอนไม่ บทกฎหมายที่จำเลยฎีกาใช้เฉพาะเมื่อเป็นพินัยกรรมแล้วเท่านั้น

ผลที่สุดศาลฎีกาแก้เฉพาะที่เกี่ยวกับทรัพย์บางอันดับโดยอาศัยข้อเท็จจริง





(พจน์ ปุษปาคม -- ไชยเจริญ สันติศิริ -- สารกิจปรีชา -- ห้วน ประชาบาล )



ศาลจังหวัดแม่สะเรียง - นายสมศักดิ์ เกิดลาภผล

ศาลอุทธรณ์ - นายยุ้ย อาตมียะนันทน์

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

option ของจำเลยในคดีอาญา

หากท่านตกอยู่ในฐานะจำเลย ท่านต้องตระหนักว่ากฎหมายได้ให้โอกาสอะไรแกท่านบ้าง เมื่อทราบแล้วก็ต้องใช้โอกาสต่าง ๆ ที่กฎหมายให้ไว้อย่างเต็มที่ ฎีกาต่อไปนี้เป็นโอกาสหนึ่งที่จำเลยต้องหยิบฉวยเอาเป็นประโยชน์...

คดีแดงที่  815/2502
อัยการจังหวัดชลบุรี โจทก์
นายเข็ม ผ่านพู จำเลย


ป.วิ.อ. มาตรา 195, 225,
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 288, 72, 290

คดีอาญา หากปรากฏในทางพิจารณาจะวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลย ในทางใดได้ แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งมา ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเป็นผลดีแก่จำเลยได้
จำเลยและผู้ตายเป็นสามีภริยากัน ได้เกิดทะเลาะกัน เพราะจำเลยตีบุตร ผู้ตายตีจำเลย ๆ กำลังนั่งกินหมากอยู่ จึงใช้มีดเขียนหมากแทงสวนไป 1 ที ถูกที่ชายโครงข้างขวา ค่อนข้างไปทางหลังลึกทะลุใน ผู้ตายถึงแก่ความตายดังนี้ จำเลยย่อมมีผิดฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนา


…………………..……………………………………………………………..

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมาอาญา มาตรา ๒๘๘
จำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้แทงผู้ตายจริง แต่เป็นการทำไปโดยบันดาลโทสะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย ๖ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๗๒ ลดฐานรับสารภาพ ๑ ใน ๓ คงจำคุก ๔ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยมิได้เจตนาฆ่าผู้ตาย พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีผิดตาม มาตรา ๒๙๐, ๗๒ ให้จำคุก ๑ ปี นอกจากแก้ยืนตาม
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีอาญานั้น หากปรากฏในทางพิจารณาจะวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยในทางใดได้ แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งมา ศาลก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเป็นผลดีแต่จำเลยได้
สำหรับความผิดของจำเลยนั้น ได้ความว่าจำเลยกับผู้ตายทะเลาะกัน เพราะจำเลยตีบุตร ๆ ร้องไห้ ผู้ตายตีจำเลย จำเลยนั่งกินหมากอยู่ จึงใช้มีดเจียนหมากที่กำลังใช้เจียนหมกแทงสวนไป ๑ ที ถูกผู้ตายที่ชายโครงค่อนไปทางข้างหลัง ลึกทะลุใน ผู้ตายถูกแทงแล้วเดินโซเซร้องบอกเพื่อนบ้าน จำเลยพอรู้ว่าผู้ตายถูกแทงก็วิ่งมาดูช่วยเอากลับบ้านและร้องไห้ ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยคิดจะฆ่าผู้ตาย จำเลยถูกข่มเหงได้บันดาลโทสะ ใช้มีดเจียนหมากแทงสวนเพียงทีเดียว บังเอิญไปถูกที่สำคัญเข้า
พิพากษายืน


(ชวน - มนูภันย์ - สุทธิมนต์ )

ศาลจังหวัดชลบุรี - นายประพันธ์ ปานชุ่มจิตร์
ศาลอุทธรณ์ - ขุนสิทธิสำรวจ